
เมื่อวันที่ 20 มีนาคม ที่วัดจุมพล บ้านก้านเหลือง ต.ก้านเหลือง อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น สถานที่ตั้งโลงแก้วบรรจุสรีรสังขาร หลวงปู่วรพรตวิธาน อดีตเจ้าอาวาส ยังคงมีลูกศิษย์และชาวบ้านที่เลื่อมใสศรัทธาในตัวหลวงปู่วรพรตวิธาน เดินทางมากราบไหว้สรีรสังขาร ทุกคนจะทราบดีว่าท่านถูกยกให้เป็นพระอริยสงฆ์แดนอีสาน มีเรื่องเล่าขานกันมาตั้งแต่ปี 2503 ที่หลวงปู่เหยียบรถกระดก (ลอยขึ้น) โดยวันนั้นหลวงปู่จะออกเดินทางจาก อ.พล จ.ขอนแก่น ด้วยรถโดยสาร เพื่อจะไปจังหวัดร้อยเอ็ด รถคันที่หลวงปู่จะขึ้นเป็นรถสองแถวขนาดใหญ่ตามธรรมดาโดยทั่วไปแล้ว พระเณรจะต้องนั่งด้านหน้าติดกับคนขับ เพื่อจะได้ไม่ปะปนกับผู้โดยสารคนอื่น
แต่รถคันนี้มีผู้หญิงนั่งเต็มอยู่ด้านหน้าแล้ว ด้านหลังรถยังพอมีที่นั่งได้ คนขับรถจึงบอกให้หลวงปู่ขึ้นทางท้ายรถ หลวงปู่ก็ได้ปฏิบัติตาม แต่ก่อนจะขึ้นรถหลวงปู่ได้พูดกับคนขับรถว่า “โยม รถจะไม่เดี่ยงหรือ” (เดี่ยง เป็นภาษาไทยอีสานแปลว่า “กระดก”) คนขับก็บอกว่า “หลวงพ่อนิมนต์ก้าวเหยียบขึ้นได้เลย รถมันไม่เดี่ยงหรอกเพราะรถรับน้ำหนักได้หลายตัน” พอคนขับพูดจบ หลวงปู่ก็ก้าวเท้าขึ้นรถ ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นทันที ด้านหน้ารถลอยขึ้น คนขับรถเห็นเช่นนั้นถึงกับตกตะลึงจึงกราบนิมนต์หลวงปู่มานั่งด้านหน้า โดยให้พวกผู้หญิงไปนั่งด้านหลัง ตั้งแต่นั้นมาสมญานาม “หลวงปู่วรพรตเหยียบรถเดี่ยง” จึงเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป

นายสมศักดิ์ มาตรงามเมือง อายุ 60 ปี ชาวบ้านที่คอยดูแลมณฑปที่ตั้งสรีรสังขารหลวงปู่วรพรตวิธาน พาผู้สื่อข่าวเดินชมพร้อมทั้งเปิดเผยว่า วัดจุมพลแห่งนี้ จะมีชาวบ้าน ลูกศิษย์ลูกหาและผู้ที่ศรัทธาเลื่อมใสในหลวงปู่วรพรตวิธานแวะเวียนมากราบสรีรสังขารของหลวงปู่ที่เป็นสีเขียวมรกต ไม่เน่าเปื่อยอย่างไม่ขาดสาย แต่ละวันชาวบ้านในพื้นที่จะมาทำบุญที่วัดทำนุบำรุงพระพุทธศาสนากัน และในช่วงที่มีงานบุญก็จะมีคนมาเต็มวัด ทางวัดก็จะเปิดให้ลูกศิษย์และประชาชนทั่วไปได้เข้ามากราบสีระสังขารหลวงปู่และพาลอดสังขารหลวงปู่เพื่อความเป็นสิริมงคลและเพื่อปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกจากตัวตามความเชื่อ โดยตนเองจะเป็นผู้นำพูดกล่าวขอขมาและลอดด้านล่างของสรีรสังขารหลวงปู่ 3 รอบ และพาต่อด้วยการยกหินทำนายตามคำขอ และพาปิดทองรูปหล่อหลวงปู่วรพรตวิธาน เพื่อความเป็นสิริมงคล
ขณะที่ พระครูสิริ ภัทรสาร เจ้าอาวาสวัดจุมพล กล่าวว่า ทุกวันอาตมาทำวัดเสร็จก็จะขึ้นมาหาหลวงปู่ โดยจำได้ว่าในวันที่ 18 มกราคม 2544 ท่านก็พูดแปลกๆว่า ปีนี้จะไม่ได้อยู่ด้วยแล้ว อาตมาก็ถามว่าหลวงปู่จะไปไหน หลวงปู่ก็บอกว่าปีนี้เราจะตายแล้ว ตายแล้วสังขารเผาไม่ไหม้ ซึ่งคำพูดของท่านเป็นวาจาสิทธิ์ พูดคำไหนก็คำนั้น เมื่อท่านมรณภาพก็ได้ฉีดยาหมอเเจ้งว่าร่างท่านจะอยู่ได้แค่ 6 เดือน สังขารก็จะเน่าเปือย ทางวัดก็ได้เก็บสังขารท่านไว้ในหีบธรรมดา โลงแก้วธรรมดาที่ไม่ได้ติดตั้งอะไร ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ.2544 จนถึงปัจจุบัน โดยในโลงจะใส่ใบชา ยากันชื้น การบูน และไม่ได้ดูแลอะไรเป็นพิเศษ

พระครูสิริ ภัทรสาร กล่าวว่า เมื่อก่อนสังขารของท่านจะเป็นสีน้ำตาล จากนั้นพบว่าในวันที่ 14 สิงหาคม 2553 ผิวหนังของท่านเริ่มเป็นสีเขียว ก่อนที่จะพบเห็น ได้ฝันว่ามีพญานาคมาเลื้อยวนอยู่ที่ศาลาของหลวงปู่ ตอนเช้าเป็นวันพระได้มาพูดคุยกับโยมคนหนึ่งที่มีความฝันเหมือนกัน เลยได้พากันไปดูหีบสังขารของหลวงปู่ ก็เจอสีเขียวเท่าขนาดของไข่ ที่บริเวณศีรษะของท่าน ตามปกติก็เปลี่ยนผ้าห่มท่านทุกปี คิดว่าเป็นเชื้อรา ก็เลยนำแผ่นทองมาปิด กลัวชาวบ้าน ญาติโยม คิดว่าเราเอาสีไปทาท่าน แต่แผ่นทองก็หลุดออกเหมือนเดิม ซึ่งในตอนนั้นยังไม่ปรากฏทั้งสังขาร แต่ผ่านไปได้ประมาณ 1 เดือน ก็พบว่าเป็นสีเขียวเต็มสังขาร กลายเป็นสีเขียวมรกตจนถึงขณะนี้
“ตอนนั้นโซเชียลกำลังมา ลูกศิษย์ก็ได้มาถ่ายรูป และส่งต่อๆกันไป หลังจากสังขารเป็นสีเขียวแล้วก็ยังคงปิดทองเป็นประจำทุกปี และเปลียนจีวรทุกปี ในกรณีที่ท่านบอกว่าสังขารเผาไม่ไหม้คาดว่าท่านจะบริจาคสังขารให้เป็นสิ่งที่เราไม่ยึดติดเพราะว่าเราแค่มาอาศัยร่าง พวกเราพิจารณาทางธรรมว่าเป็นแค่ท่อนไม่ ลาภยศ สรรเสริญเอาไปไม่ได้ สังขารของท่านจะเก็บไว้ให้ลูกหลานดูต่อไป หลายๆรุ่น จะจัดปฏิบัติธรรมให้สังขารของหลวงปู่เป็นครูบาอาจารย์เหมือนที่อื่นทำ ในแต่ละปีทำบุญเปลี่ยนจีวรให้ท่าน ในตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่ อาตมา ก็จะเปลี่ยนจีวรให้ท่านทุกวันที่ 16 เมษายนจึงยึดถือมาตลอด ส่วนทำบุญครบรอบวันละสังขาร จะทำวันที่ 20 พฤษภาคมของทุกปีแล้วจะเป็นบุญเดือน 6 ของอีสาน คือบุญบั้งไฟ ละสังขารมาแล้ว 22 ปี หลังจากที่มีโควิดระบาดก็ไม่ได้จัดเลย ปีนี้ก็จะจัดตามปกติ กิจกรรมจะมีบุญบั้งไฟ มีนางรำมารำบวงสรวงหลวงปู่ นิมนพระมาสวดพระพุทธมนต์ เพื่อความเป็นสิริมงคล”พระครูสิริภัทรสาร กล่าว


