“อิทธิพล”ไม่รอดพ้นตำแหน่งรมต.ถูกป.ป.ช.ฟันคดีเก่าออกใบอนุญาติสร้างคอนโดฉาว

นายอิทธิพล คุณปลื้ม

เมื่อวันที่ 6 ก.ย. นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีสำคัญกรณีเกี่ยวกับการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ 1.ชี้มูลความผิดนายอิทธิพล คุณปลื้ม อดีตรมว.วัฒนธรรม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเมืองพัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี กับพวก เข้ามีส่วนได้เสียในการก่อสร้างโครงการวอเตอร์ฟร้อนท์ สวีท แอนด์เรสซิเดนซ์ ปัจจุบันคือ โครงการวอเตอร์ฟร้อนท์ คอนโดมิเนียม พัทยา ไทยแลนด์ บริเวณเชิงเขาพระตำหนัก เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี และออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร และพิจารณา ต่อใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร โดยมิชอบด้วยกฎหมาย

โดยข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อวันที่ 1 พ.ค.51 บริษัท บาลี ฮาย จำกัด ได้ยื่นคำขอ อนุญาตก่อสร้างอาคารต่อเมืองพัทยา เพื่อก่อสร้างอาคารถาวรชนิด ค.ส.ล. 53 ชั้น จำนวน 1 หลัง (315 ห้อง) ความสูงประมาณ 180 เมตร เพื่อใช้เป็นอาคารชุดพักอาศัย พื้นที่จำนวน 38,503 ตารางเมตร ในโครงการวอเตอร์ฟร้อนท์ สวีท แอนด์เรสซิเดนซ์ โดยอาคารโครงการดังกล่าวเป็นอาคารที่มีความสูงตั้งแต่ 23 เมตรขึ้นไป มีพื้นที่รวมกันทุกชั้นตั้งแต่ 10,000 ตารางเมตรขึ้นไป จึงเป็นอาคารสูงและอาคารขนาดใหญ่พิเศษ ตามข้อ 1 ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535) แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 50 (พ.ศ. 2540) ออกตามความในพ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522

ซึ่งที่ตั้งโครงการดังกล่าวอยู่บริเวณมุมถนนพัทยาสาย 3 มีความกว้างประมาณ 30 เมตร เชื่อมต่อกับ ถนนสาธารณะในโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือท่องเที่ยวพัทยาใต้ ซึ่งมีความกว้างประมาณ 6 เมตร และมีทางเท้ากว้างข้างละประมาณ 2.50 เมตร โครงการดังกล่าวจึงตั้งอยู่บริเวณมุมถนนสาธารณะสองสายขนาดไม่เท่ากัน ความสูงของอาคารจึงต้องไม่เกินสองเท่าของระยะราบที่ใกล้ที่สุดจากจุดนั้นไปตั้งฉากกับแนวเขตถนนสาธารณะด้านตรงข้ามของสายที่กว้างกว่า (ถนนพัทยาสาย 3) และความยาวของอาคารตามแนวถนนสาธารณะที่แคบกว่า (ถนนในโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือฯ) ต้องไม่เกิน 60 เมตร ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 55 (พ.ศ. 2543) ออกตามความใน พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ข้อ 46 เมื่อแบบแปลนที่อนุญาตดังกล่าว มีความยาวของอาคารด้านถนนในโครงการ ก่อสร้างท่าเทียบเรือฯ ยาวประมาณ 90 เมตร และมีความสูงของอาคารชั้นที่ 53 สูงประมาณ 180 เมตร ความยาวในส่วนของอาคารตามแนวถนนสาธารณะที่แคบกว่าจึงเกิน 60เมตร และสูงเกินสองเท่าของระยะราบที่ใกล้ที่สุดจากจุดนั้นไปตั้งฉากกับแนวเขตถนนสาธารณะด้านตรงข้ามของสายที่กว้างกว่า ดังนั้น การที่นายอิทธิพล กับพวก ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่น ได้ร่วมกันพิจารณาออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร (แบบ อ. 1) เลขที่ 700/2551 ลงวันที่ 10 ก.ย.51 ให้กับบริษัท บาลี ฮาย จำกัด เพื่อก่อสร้างอาคารโครงการดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

นอกจากนี้ ยังปรากฏข้อเท็จจริงว่า บริษัท บาลี ฮาย จำกัด ได้ยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร ครั้งที่ 2 วันที่ 1 ก.ย55 งานฐานรากเริ่มวันที่ 16 พ.ย.55 แล้วเสร็จประมาณเดือนพ.ค.56 แต่ปรากฏว่า นายวุฒิศักดิ์ เริ่มกิจการ รองนายกเมืองพัทยารักษาราชการแทนนายกเมืองพัทยา กับพวก ได้ร่วมกันพิจารณาอนุญาตและมีคำสั่งต่ออายุใบอนุญาตก่อสร้าง ครั้งที่ 2 ให้กับบริษัท บริษัท บาลี ฮาย จำกัด ทั้งที่การก่อสร้างอาคารโครงการดังกล่าวยังวางฐานรากของอาคารไม่แล้วเสร็จ ดังนั้น การพิจารณามีคำสั่งต่อใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร ครั้งที่ 2 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการในการบังคับใช้กฎกระทรวง ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2528) ออกตามความในพ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงฉบับที่ 57 (พ.ศ. 2544) ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์และกระทบต่อประโยชน์สาธารณะอย่างมีนัยสำคัญ

โดยส่งผลให้บริษัท บาลี ฮาย จำกัด สามารถดำเนินการก่อสร้างอาคารโครงการวอเตอร์ฟร้อนท์ฯ ต่อไปโดยไม่ชอบด้วยกฎกระทรวงฉบับดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติ ชี้มูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 นายอิทธิพลกรณีอนุมัติออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร โครงการวอเตอร์ฟร้อนท์ สวีท แอนด์เรสซิเดนซ์โดยมิชอบและมีมูลความผิดฐานปฏิบัติการในทางที่อาจนำมาซึ่งความเสียหายแก่เมืองพัทยาหรือกระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือข้อบัญญัติ ตามพ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ. 2542 มาตรา 96 และชี้มูลความผิดนายพิเชษฐ อุทัยวัฒนานนท์ นายวิทยา ศิรินทร์วรชัย นายญัติพงค์ อินทรัตน์ และนายเอกพงษ์ บุญชาย มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง

ส่วนประเด็นการต่อใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร โครงการวอเตอร์ฟร้อนท์ สวีท แอนด์เรสซิเดนซ์ บริเวณเชิงเขาพระตำหนัก เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี โดยมิชอบด้วยกฎหมาย มีมติชี้มูลความผิดอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และพ.ร.ป.ว่าด้วยป.ป.ช. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 และชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรง กับนายวุฒิศักดิ์ เริ่มกิจการ, นายอภิชาติ พืชพันธ์, นายวิทยา ศิรินทร์วรชัย ,นายสุธีร์ ทับหนองฮี ,นายชานนทร์ เกิดอยู่ ,นายชัยวัฒน์ แจ้งสว่าง โดยได้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัย ไปยัง อัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจ และส่งไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อดำเนินการทางวินัย ผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนเพื่อดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจตามฐานความผิดดังกล่าว รวมถึงแจ้งไปยังกรมที่ดิน พิจารณาเพิกถอนโฉนด รวม 7 แปลง และอธิบดีกรมที่ดิน มีคำสั่งที่ 811/2566 ลงวันที่ 28 มี.ค.66 แต่งตั้งคณะกรรมแจ้งไปการสอบสวน ตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน

นอกจากนี้ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนายเจริญ จรรย์โกมล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง กับพวก ทุจริตโครงการเสริมสร้างและเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจ ในทางการเมืองการปกครอง โดยข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า นายเจริญ มีหน้าที่กำกับดูแลการปฏิบัติราชการของกลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง และในฐานะส.ส.ได้ใช้สถานะหรือตำแหน่งการเป็นส.ส.เข้าไปก้าวก่าย หรือแทรกแซง การปฏิบัติราชการหรือการดำเนินงานในหน้าที่ประจำของข้าราชการ เพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือพรรคการเมือง

โดยนายเจริญ ได้ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการค่าใช้จ่าย ในการส่งเสริมและเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในทางการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ให้มีอำนาจหน้าที่พิจารณา กลั่นกรอง กำหนดขอบเขตแนวทางการดำเนินงานจัดกิจกรรมในโครงการ ตามที่ตนเองสั่งการ และใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตร่วมกันกับเจ้าหน้าที่กลุ่มงานรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง จัดทำและนำเสนอขออนุมัติจัดโครงการสัมมนาในพื้นที่ซึ่งเป็นฐานเสียงทางการเมืองของตน และ พรรคการเมืองของตน และร่วมกันทุจริตจัดทำเอกสารโครงการอันเป็นเท็จเพื่อเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการจัดโครงการ ทั้งที่เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบโครงการไม่ได้เดินทางไปจัดโครงการดังกล่าวแต่อย่างใด การกระทำของนายเจริญ จรรย์โกมล พร้อมพวก จึงเป็นการร่วมกันทุจริตจัดโครงการไม่ถูกต้องครบถ้วนตามที่ได้รับอนุมัติ เป็นเหตุให้สำนักงานเลขาธิการ สภาผู้แทนราษฎรได้รับความเสียหาย จึงมีมติว่าการกระทำของนายเจริญ มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 151 มาตรา 157 มาตรา 161 มาตรา 162 (1) (4) ประกอบมาตรา 91 และตามพ.ร.ป.ว่าด้วยป.ป.ช. พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91

และยังชี้มูลคามผิดทางอาญาและวินัยร้ายแรง น.ส.วรุณี ผิวนวล นายสุวิจักขณ์ หรือนายวัชระชัยย์ นาควัชระชัย หรือนาควัชระชัยท์ อดีตเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร นายเอรวัตร อุ่นกงลาด นายเดชชาติ จันทรัตน์ นางสาวลักขะณา นามเที่ยง และนายอมรเทพ เพิกอินทร์ รวมถึงชี้มูลความผิดอาญา บริษัท เค.เอ็น.ไอ. (ไทยแลนด์) จำกัด และนางกนกพร เฟืองศิริวัฒนกุล หรือโพธิ์เกตุ โดยได้ส่งรายงาน สำนวนหลักฐาน ไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจ แจ้งไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อดำเนินการทางวินัย และดำเนินการตามอำนาจเพื่อให้มีการ ชดใช้ค่าเสียหาย ตามพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539

Message us