“อังคณา”ตะเพิด”สว.อะมัด”ศึกษากม.ก่อนพูดเสนอไลฟ์สดประหารชีวิตนักโทษยาเสพติด

เมื่อวันที่ 29 ม.ค. ที่รัฐสภา นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายอะมัด อายุเคน สว.เสนอให้ประหารชีวิต นักโทษคดียาเสพติด ในที่ประชุมวุฒิสภาว่า เมื่อวานได้แสดงความคิดเห็นต่อ ป.ป.ส. ว่าจะมีหลักประกันอะไร ในการปราบยาเสพติดไม่ให้ซ้ำรอยเดิม ในช่วงสงครามยาเสพติด ที่ฆ่าตัดตอนไปประมาณ 2,000 คน แต่สุดท้ายไม่มีผู้กระทำผิดแม้แต่คนเดียวที่ถูกลงโทษ ซึ่งเป็นเรื่องหนึ่งที่ห่วงใย ตนก็ได้พูดถึงเรื่องการควบคุมตัวที่กฎหมาย ป.ป.ส. ให้ควบคุมตัวได้ 3 วัน เพราะอะไรถึงมากขนาดนั้น

นางอังคณา กล่าวกรณีที่มี สว. พูดถึงเรื่องการประหารชีวิตว่า เป็นการแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ แต่คงต้องไปทบทวนเหตุการณ์ในอดีต ที่การฆ่าตัดตอนคนจำนวนมาก แต่สุดท้ายยาเสพติดก็ไม่หมดไป เมื่อถามว่า มีข้อเสนอที่ให้มีการถ่ายทอดสด (ไลฟ์สด) ในช่วงการประหารชีวิต นางอังคณา กล่าวว่า ถือเป็นการลดทอนศักดิ์ศรีคุณค่าความเป็นมนุษย์ เป็นการผลิตซ้ำความรุนแรง และไม่ได้ทำให้เกิดความหลาบจำ แต่จะทำให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย อย่างเยาวชน ได้มองเห็นวิธีการแบบนี้เป็นวิธีที่สามารถทำได้ ซึ่งความจริงแล้วขัดกับกฎหมาย ขัดกับ พ.ร.บ.อุ้มหาย ในเรื่องของการกระทำใดๆ ที่เป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ในมาตรา 6 ซึ่งสว. ท่านนั้น ต้องไปศึกษากฎหมายเพิ่มเติม

เมื่อถามว่า หากข้อเสนอนี้ผ่านความเห็นชอบ จะมีผู้ถูกใส่ร้ายในคดียาเสพติดเพิ่มขึ้นมากหรือไม่ นางอังคณา กล่าวว่า สิ่งที่พูดถึงอย่างกรณีกลุ่มชาติพันธุ์ทางเหนือ หลายคนเป็นคนไร้สัญชาติ ส่วนใหญ่ไม่มีบัญชีธนาคารจะเก็บเงินไว้ที่บ้าน หรือถ้ามีคนไปให้ข้อมูลว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และมีการยึดทรัพย์ อาจเป็นเรื่องที่มาจากการใส่ร้ายป้ายสีได้ แล้ววันนี้เรามีกฎหมายให้ผู้เสพเป็นผู้ป่วย ก็ยังมีปัญหาและอุปสรรคอีกเยอะมาก ผู้ต้องขังเรื่องยาเสพติดในเรือนจำลดลง แต่คนเหล่านี้ไม่ได้หายไปไหน ออกมาอยู่ข้างนอกตามชุมชน ครอบครั วหรือโรงพยาบาล ก็ไม่มีศักยภาพในการดูแล ฉะนั้นหากจะแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเป็นระบบ ก็ต้องปราบปรามผู้กระทำผิดรายใหญ่ และต้องดำเนินการอย่างจริงจัง อย่างในอดีตคนที่ขับรถขนส่งก็จะกินยาม้าเป็นประจำ แต่พอกลายเป็นยาบ้าก็มีราคาสูงขึ้น เป็นการเพิ่มมูลค่า คนก็หันมาขายและติดยากันมากขึ้น นายกรัฐมนตรีก็บอกว่าจะผลักดันอย่างเด็ดขาด ซึ่งในความเห็นส่วนตัวก็ต้องมีหลักประกันว่า เด็ดขาดคือให้ยาหมดไป แต่ไม่ใช่ใช้วิธีการที่รุนแรง ในขณะเดียวกันที่รัฐบาลใช้กฎหมาย รัฐบาลก็ต้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนไปด้วย

“การประหารชีวิตไม่ได้ทำได้ง่ายๆ ต้องมีคำพิพากษาจากศาล และมีพยานหลักฐาน การกระทำผิดต้องเป็นโทษรุนแรง การพูดแบบนี้อาจเป็นการส่งสัญญาณว่าเรารับได้ และที่พูดก็คือการขัดมาตรา 6 ใน พ.ร.บ.อุ้มหาย ในเรื่องการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หากมีการถ่ายทอดสด แต่คิดว่า สว. ท่านนั้นพูดเหมือนปากพาไป หรืออะไรไม่ทราบ” นางอังคณา กล่าว

Message us