สภาพความเสียหายของแฟลตตำรวจถูกคาร์บอมบ์ถล่ม-จนท.คนก่อเหตุแล้ว

เมื่อวันที่ 23 พ.ย. พล.ต.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ รองแม่ทัพแม่ทัพภาคที 4 และ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ลงตรวจพื้นที่จุดเกิดเหตุคาร์บอมบ์บริเวณแฟลตตำรวจสภ.เมืองนราธิวาส เหตุเกิดเมื่อวันที่ 22 พ.ย.ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 36 คน

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบในเบื้องต้น พบว่า เป็นรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ รุ่นดีแม็กซ์ สีดำ ป้ายทะเบียน จังหวัดตรัง จดทะเบียนวันที่ 8 มี.ค. 2550 มีผู้ครอบครองรถ คือ ชายคนหนึ่ง มีภูมิลำเนาอยู่ที่ ต.เกาะสุกร อ.ปะเหลียน จ.ตรัง โดยได้นำรถยนต์มาขายให้เต็นท์รถแห่งหนึ่งใน อ.เมืองตรัง เมื่อปี 2564 ก่อนที่เต็นท์รถจะนำไปขายต่อที่ จ.พัทลุง ซึ่งมีผู้พบเห็นรถคันนี้ครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 6 ต.ค.65  เวลา 16.52 นาฬิกา รถขับผ่านด่านตรวจ ต.ลำภู อ.เมืองนราธิวาส โดยมีผู้หญิงเป็นผู้ขับขี่ ขณะนี้เจ้าหน้าที่จึงพยายามติดต่อหญิงสาวคนขับรถเข้าพื้นที่ แต่ยังไม่สามารถติดต่อได้ เป็นรถหนีไฟแนนท์

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ระดมกำลังเร่งมือในการเคลื่อนย้ายซากรถยนต์ เเละรถจักรยานยนต์หลายสิบคัน ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุคาร์บอมบ์ออกจากเเฟลตตำรวจ สภ.เมืองนราธิวาส เเละเก็บกวาดซากความเสียหายจากเเรงอัดของระเบิดภายในเเฟลต คืนสภาพตามปกติ ซึ่งอนุภาพของระเบิดคาร์บอมบ์ที่รุนเเรง ทำให้ร่องรอยความเสียหาย โดยเฉพาะบริเวณห้องพักของเจ้าหน้าที่ประมาณ 70 ครอบครัว บริเวณชั้น 1 เเละชั้น 2 ที่เสียหายเกือบทั้งหมด

พล.ต.ปราโมทย์ เปิดเผยว่า ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมด ขอประนามผู้ก่อเหตในส่วนของนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เข้ามาดำเนินการในเรื่องการช่วยเหลือเยียวยา โดยเมื่อวานนี้ ศอ.บต. ได้ลงพื้นที่และดำเนินการพร้อมสำรวจในเรื่องนี้แล้ว นอกจากนี้เป็นการดำเนินการด้านกฏหมาย และยกระดับมาตรการการดูแลความปลอดภัยเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่มีความมั่นใจในชีวิตและทรัพย์สิน

สำหรับความคืบหน้าทางคดี ขณะนี้มีความคืบหน้ามาบ้างแล้ว เบื้องต้นพบว่ารถยนต์คันเกิดเหตุเป็นรถยนต์ที่ไม่ได้ถูกโจรกรรมมา จะต้องตรวจสอบความเชื่อมโยงระหว่างเจ้าของรถยนต์กับผู้ก่อเหตุ แต่เบื้องต้นก็ต้องเป็นกลุ่มก่อเหตุความรุนแรง แต่ทั้งนี้ไม่ได้ตัดประเด็นของการเมือง ภัยแทรกซ้อน และกลุ่มขบวนการ ต้องดำเนินการทางคดีเพื่อขยายผลต่อไป  ส่วนการก่อเหตุระยะนี้ที่เกิดบ่อยครั้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะในช่วงที่มีการประชุมระดับโลก อาจจะเป็นความบังเอิญ ซึ่งในพื้นที่ก็มีการวางมาตรการและดูแลความปลอดภัยในระดับหหนึ่งแล้วแต่ก็ยังมีช่วงว่างให้เกิดเหตุ

รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า กล่าวว่าการก่อเหตุครั้งนี้เป็นการก่อเหตุที่มีการวางแผนมาอย่างดี มุ่งทำลายชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงความรู้สึกต่อจิตใจของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียน ผู้ปกครอง และที่สำคัญด้านเศรษฐกิจ หลังจากนี้เพื่อเป็นการป้องกันและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงต้องเพิ่มมาตรการเข้มตามจุดตรวจ จุดสกัด โดยประชาชนเองอาจจะไม่ได้รับความสะดวกสบายมากนัก แต่ขอให้ทุกคนเข้าใจการทำงานของเจ้าหน้าที่เพื่อที่จะสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับทุกคน

ข่าว/ภาพ : แวดาโอ๊ะ หะไร

Message us