เมื่อวันที่ 26 มีนาคม มีการประชุมวุฒิสภาเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 วงเงินงบประมาณ 3.48 ล้านล้านบาท มีการปรับลดกว่า 9 พันล้านบาท ตามที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบในวาระ 3 ไปเมื่อวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา รวมทั้งพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 ของวุฒิสภา ที่มีข้อเสนอแนะต่อร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯดังกล่าว
ที่สุดที่ประชุม มีมติ186 เสียง ลงมติ“เห็นชอบ” ร่างพ.ร.บ.งบประมาณ2567 เพื่อบังคับใช้เป็นกฎหมาย “ไม่เห็นด้วย” ไม่มี งดออกเสียง 2 เสียง รวมทั้งเห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ จากนั้น จะจัดส่งไปยังคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ มีข้อท้วงติงจากฝั่ง ส.ว. อาทิ พล.อ.ชาติอุดม ติดถะสิริ สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ (กมธ.) พิจารณาศึกษาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 วุฒิสภา เห็นว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2567 มีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นจากปี 2566 แต่มีปัจจัยเสี่ยงทางด้านการคลังในการกลับมาขยายตัวของภาคการส่งออกสินค้าตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
นอกจากนั้น ยังมียังมีปัจจัยเสี่ยงจากการการลดลงของแรงขับเคลื่อนทางการคลัง ซึ่งมีสาเหตุมาจากความล่าช้าของกระบวนการงบประมาณ ปี 2567 ส่งผลกระทบต่อการเบิกจ่ายเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะงบลงทุนภาครัฐปี 2567 และแนวโน้มการลดลงของพื้นที่การคลังจากสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลผลิตมวลรวม และภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น อาจทำให้รัฐบาลขาดความยึดหยุ่นในการก่อหนี้ใหม่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หากเกิดวิกฤตครั้งใหม่ โดยเฉพาะหากรัฐบาลมีความจำเป็นที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต โครงการพักหนี้เกษตรกร การปรับเงินเดือนข้าราชการ รวมทั้งการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อภาระการคลังที่จะเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากมีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวางแล้วในที่สุดที่ประชุมวุฒิสภาลงมติเห็นชอบกับร่างพ.ร.บ.งบประมาณดังกล่าวด้วยเสียงเอกฉันท์ในเวลา 16.20 น.
