“รักชนก”ซัดนายฯแรงปล่อยทุนเทาบ่อนทำลายประเทศแลกดีลปีศาจพาพ่อกลับบ้าน 

เมื่อวันที่ 25 มีนาคม น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กรุงเทพฯ เขต 28 พรรคประชาชน อภิปรายปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์ ในการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล วันที่สอง โดยกล่าวว่า แม้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ สแกมเมอร์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เหมือนจะได้รับการตอบสนองจากรัฐบาล แต่ก็เป็นเพียงภาพลวงตา ผักชีโรยหน้า ที่รัฐบาลอยากให้ประชาชนเชื่อ ความเป็นจริงนายกฯ ยังมีพฤติกรรมที่ไม่อาจไว้วางใจให้บริหารราชการแผ่นดินได้อีกต่อไป เพราะขาดภาวะผู้นำ ลอยตัวอยู่เหนือปัญหา ไม่ยอมตัดสินใจ ปล่อยให้เกิดสภาวะเกี่ยงกันทำงานหลายต่อหลายครั้ง จนสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนมหาศาล ต้องให้รัฐบาลต่างชาติเข้ามากดดันถึงจะมีการลงมือ

การแก้ปัญหาอาชญากรรมทางไซเบอร์ให้หมดไปจำเป็นต้องทำลายโครงสร้างอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งทุนต่างชาติสีเทาและทุนไทยเทา ที่ร่วมมือกันบ่อนทำลายประเทศไทยด้วยมาตรการขั้นเด็ดขาด แต่นายกฯ กลับจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราวกับต้องการเอื้อผลประโยชน์ให้แก่พวกพ้องและกลุ่มทุน ปล่อยให้เกิดการทุจริตในระบบราชการ จนการแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังไม่รู้ว่าจะจบอย่างไร มูลค่าความเสียหายจากการหลอกลวงของแก๊งสแกมเมอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั่วโลกมีมากถึง 2.24 ล้านล้านบาท โดยกว่า 50% เกิดขึ้นโดยแก๊งสแกมเมอร์จาก 3 ประเทศ คือ ลาว กัมพูชา และเมียนมา ที่ล้วนมีชายแดนติดกับบ้านเราทั้งสิ้น ความเสียหายทั้งหมดคือตัวเลขที่ทำให้คนไทยประสบภัยรายวัน เพราะถูกขโมยเงินไปจากกระเป๋า บางคนหมดตัวถึงขั้นจบชีวิต 

รัฐบาลเพื่อไทยเคยตั้งเป้า อยากขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ประเทศไทยเป็นฮับท่องเที่ยว ฮับดิจิตอล ฮับการบิน ฮับขนส่ง แต่ตอนนี้ที่เราเป็นได้คือฮับของคนที่ทำทีว่าเป็นนักท่องเที่ยว แต่แท้จริงเข้ามาทำธุรกิจสีเทา ฮับของเศรษฐกิจดิจิทัลแบบพนันออนไลน์ครบวงจร ฮับของการบินแต่เป็นการบินเข้ามาเพื่อเป็นทางผ่านเข้าสู่ขบวนการค้ามนุษย์ ฮับขนส่งแต่เป็นการส่งอิฐหินดินปูนไปสร้างความมั่งคั่งให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ .จะเห็นได้ว่ากระบวนการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ สแกมเมอร์ทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ เกี่ยวข้องกับหน่วยงานเป็นสิบหน่วยงาน ต้องใช้อำนาจของนายกฯ เท่านั้นมาแก้ไข ไม่ใช่แค่ฝากใครดูแลแบบส่งๆ เพราะเป็นเรื่องที่ต้องทำงานข้ามกระทรวง และต้องตัดสินใจในมาตรการสำคัญๆ 
เกี่ยวกับมิติความมั่นคง เศรษฐกิจ และต่างประเทศ 

เริ่มที่ “ต้นน้ำ” อย่างการตัดไฟ เรามีจุดซื้อขายไฟกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมด 18 จุด ซึ่งเป็นบริเวณชายแดน 3 ประเทศที่มีสถิติว่ามีแก๊งมิจฉาชีพหลอกลวงคนทั่วโลกสูงสุด ดังนั้นยากที่จะปฏิเสธว่าไฟฟ้าที่หล่อเลี้ยงให้ดินแดนสแกมเมอร์สว่างไสว ส่วนหนึ่งถูกส่งมาจากบ้านเรา แต่กว่าจะตัดไฟได้ตามที่ รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชนเสนอ ก็โต้กันไปกันมาระหว่างมหาดไทยกับสภาความมั่นคงแห่งชาติ จนต้องเรียกว่าเป็น “รัฐบาลลูกคุณช่างเกี่ยง”

การตัดไฟเป็นเพียงก้าวแรก ต่อมาคือการตัดอินเทอร์เน็ต ที่เป็นเหมือนท่อน้ำที่หล่อเลี้ยงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้มีศักยภาพในการหลอกคนทั้งในไทยและทั่วโลกได้อย่างไม่สะดุด แต่พอไปดูการปราบปรามจะเห็นว่าความคืบหน้าน้อยมาก เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องออกนโยบายให้ กสทช. บังคับให้บริษัทเอกชนรับผิดชอบ แต่มาจนถึงวันนี้ กสทช. กลับเหมือนเป็นตัวถ่วงมากกว่าตัวช่วย ประชาชนอยากเห็นการปราบปรามที่จริงจัง สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) รู้อยู่แล้วว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตั้งอยู่ตรงไหนบ้าง ควรพิจารณาระงับสัญญาณอินเทอร์เน็ตหรือต้องจัดการเสาสัญญาณให้จริงจังและเข้มข้นกว่านี้

ต่อมาคือเรื่อง “ท่าข้าม” ซึ่งเป็นท่าส่งของชั่วคราว ความสำคัญคือมูลค่าเศรษฐกิจชายแดนทั้งหมดของจังหวัดตาก 60% มาจากท่าข้ามส่งของ การขออนุญาตเปิดท่าข้ามอาศัยอำนาจตามกฎหมายศุลกากร โดยต้องยื่นเรื่องไปที่ศูนย์สั่งการชายแดนที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวโต๊ะให้อนุมัติการเปิดใช้ สมช. ได้ให้ข้อมูลไว้ใน กมธ.ความมั่นคงฯ ว่าท่าข้ามที่เปิดใช้ทั้งหมดตอนนี้ จริงๆ เป็นท่าข้ามแบบชั่วคราว ถ้าเสร็จภารกิจแล้วต้องปิด แต่ท่าข้ามในจังหวัดตาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่แม่สอด ทุกวันนี้อยู่มานานเหมือนเป็นท่าถาวรไปแล้ว

เรื่องการปิดท่าข้ามนั้น ตนถามย้ำใน กมธ.ความมั่นคงฯ หลายครั้งว่าสรุปใครต้องเป็นคนปิดกันแน่ แต่ไม่มีเสียงตอบรับ มีแต่การโยนกันไปมาระหว่างศุลกากร ผู้ว่าฯ สมช. ตอกย้ำถึงการเป็นรัฐบาลลูกคุณช่างเกี่ยง ดังนั้น ถ้าหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งแก้ไม่ได้ นายกฯ ต้องเป็นคนสั่งการ แต่เรื่องนี้คุยกันมาเป็นปีไม่จัดการ พอฝ่ายค้านตั้งท่าจะอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถึงเพิ่งมาสั่งปิดไปท่าหนึ่ง แบบนี้ควรจะเพิ่มอภิปรายไม่ไว้วางใจทุกสัปดาห์ นายกฯ จะได้ตั้งใจทุกวัน

การดูแลชายแดนที่ปล่อยปละละเลยแบบนี้ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ต้องมีมาตรการจำกัดพื้นที่ฟรีวีซ่า โดยการห้ามนักท่องเที่ยวเข้าจังหวัดที่มีความเสี่ยง เช่นพื้นที่ชายแดนที่มีปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรกที่พรรคประชาชนเสนอเรื่องนี้ เรามารอดูกันว่าเรื่องการจำกัดวีซ่า สุดท้ายนายกฯ กว่าจะตัดสินใจอย่างเด็ดขาดต้องใช้เวลาอีกกี่เดือน

ต้นน้ำอีกอย่างคือเรื่องการค้ามนุษย์ เพราะแก๊งเหล่านี้ต้องการแรงงานทาสจำนวนมหาศาล แต่เราเห็นการบุกปราบปรามการค้ามนุษย์น้อยมากจากรัฐบาล จนมีข่าวซิงซิง ดาราจีน โดนหลอกไปเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รัฐบาลไทยที่นิ่งเฉยมาตลอด อยู่ดีๆ กลับดำเนินการทุกขั้นตอนอย่างรวดเร็วและแม่นยำ ท่ามกลางแก๊งคอลเซ็นเตอร์มากมายหลายร้อยแก๊ง พื้นที่เป็นพันๆ ตารางกิโลเมตร เหยื่อที่ถูกหลอกนับหมื่นคน แต่รัฐบาลไทยกลับล้วงมือเข้าไปเลือกช่วยออกมาได้แค่คนเดียวเท่านั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยกันทั้งโลกว่า ที่ผ่านมาแก๊งมิจฉาชีพกับตำรวจประเทศไทยรู้งานกันอยู่แล้วหรือไม่

สรุปคือกระบวนการถอนรากถอนโคนที่ต้นน้ำคืบหน้าไปช้ามาก ดูจากการตัดไฟ รัฐมนตรีเกี่ยงกันทำงาน ความล่าช้านี้สร้างความเสียหายให้ล่วงเลยมาเป็นปี การทำลายเสาสัญญาณอินเทอร์เน็ตและท่าข้าม นายกฯ เพิ่งจะสนใจตอนใกล้อภิปรายไม่ไว้วางใจ การตอบสนองต่อเรื่องการค้ามนุษย์ กลับกลายเป็นว่านายกฯ ให้ความสำคัญกับคนชาติอื่นมากกว่า แค่เริ่มก้าวแรกที่ต้นน้ำยังลำบากขนาดนี้ เพราะเรามีนายกฯ ที่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร ไม่ได้มีคุณสมบัติที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี

รักชนก กล่าวว่า ต่อมาคือปัญหาในส่วน “กลางน้ำ” ในการเข้าถึงตัวผู้เสียหาย แก๊งมิจฉาชีพต้องอาศัย 
ของหลักๆ 4 อย่าง คือ ข้อมูลส่วนตัว ซิมม้า บัญชีม้า และคริปโตเคอร์เรนซี เริ่มจากซิมม้า เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องบังคับใช้กฏหมายเพื่อบังคับค่ายมือถือให้จัดการ เราต้องแก้ด้วยการให้ค่ายมือถือร่วมรับผิดชอบด้วย แต่ พ.ร.ก. ที่จะให้ค่ายมือถือร่วมรับผิดชอบ ตอนนี้อยู่ไหน เมื่อไรจะออกมา ในขณะที่รัฐบาลยังไม่ออกกฎหมาย แต่ค่ายมือถือออกนวัตกรรมใหม่ “ประกันภัยไซเบอร์” เป็นแพ็คเก็จแบบรายเดือน ฉวยโอกาสเอาปัญหาที่รัฐบาลไม่แก้มาขูดรีดค่ารักษาความปลอดภัยรายเดือนกับประชาชน ประเทศไทยรัฐบาลปล่อยให้ทุนใหญ่เอาเปรียบประชาชนได้ขนาดนี้ 

ถัดมาคือเรื่องบัญชีม้า แม้ปิดได้เยอะแต่ยังไงต่อ จริงๆ แล้วนายกฯ ต้องสั่งให้ขยายผลว่าบัญชีม้าที่เปิดกันเป็นล่ำเป็นสันนั้น มีตัวการใหญ่ที่จ้างคนไปเปิดบัญชีอย่างเป็นระบบหรือไม่ 
ตอนนี้ธนาคารปิดบัญชีได้หลักล้าน และมีการเก็บข้อมูลเป็นเลขบัตรประชาชน ประมาณ 150,000 คน แต่มีคนถูกดำเนินคดีจริงๆ แค่หลักพันเท่านั้น ที่เหลือทำไมยังปล่อยไว้ 

เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 6233/2564 ให้ผู้เสียหายและธนาคารร่วมรับผิดชอบกันคนละครึ่ง เนื่องจากศาลเห็นว่าธนาคารก็มีส่วนประมาท นี่คือหลังพิงที่ยืนยันว่าการให้ธนาคารร่วมรับผิดชอบสามารถทำได้ รัฐบาลควรออก พ.ร.ก. ร่วมรับผิดชอบ ออกมาบังคับใช้ได้แล้ว เพื่อบังคับให้ธนาคารและค่ายมือถือจัดการปัญหาที่ต้นเหตุ เพราะมีมติ ครม. รับหลักการไปเกือบ 2 เดือน ตนหวังว่า พ.ร.ก. ฉบับนี้คงไม่หายไปเพราะมีกลุ่มทุนบางกลุ่มพยายามล็อบบี้รัฐบาล

อีกเรื่องคือคริปโตเคอร์เรนซี ข้อมูลจากตำรวจไซเบอร์บอกเองว่า 95% ของเงินที่ถูกหลอกลวงมาได้จะถูกโอนเข้าเป็นเหรียญคริปโตทั้งหมดผ่านแพลตฟอร์มที่อยู่นอกการดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมารัฐบาลจัดการอะไรในเรื่องการซื้อขายเหรียญคริปโตบ้าง เคยออกนโยบายให้ กลต. ออกระเบียบมาคุมแพลตฟอร์มให้ครอบคลุมทั้งหมดหรือไม่ หรือออกระเบียบควบคุมการซื้อขายแบบ P2P บ้างหรือไม่ คำตอบคือไม่มีเลย ทั้งที่เป็นจุดสุดท้ายของเงินที่เราจะติดตามได้

รู้กันดีว่าคริปโตเคอร์เรนซีเป็นแหล่งฟอกเงินที่สะดวกที่สุด การที่นายกฯ ปล่อยปละละเลยจึงคิดเห็นเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากตั้งใจจะไม่ควบคุม ปล่อยให้อะไรเทาๆ อยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ตนไม่ได้ต่อต้านคริปโตเคอร์เรนซี แต่ตลาดซื้อขายทุกวันนี้คือสวรรค์ของแก๊งมิจฉาชีพที่นำเงินมาฟอกอย่างง่ายดาย 

รักชนกกล่าวว่า ในกระบวนการ “กลางน้ำ”  สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เหยื่อตายใจและถูกหลอกอย่างง่ายดาย คือเมื่อแก๊งมิจฉาชีพมีข้อมูลเชิงลึกของเหยื่อ ที่ผ่านมามีบริษัทเอกชนหน่วยงานภาครัฐที่ทำข้อมูลรั่วออกข่าวอยู่ตลอด แต่พวกเขาเคยถูกลงโทษบ้างหรือไม่ เมื่อพฤศจิกายน 2567 แฮกเกอร์คนหนึ่งให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่าบริษัทเอกชนในไทยไม่ใส่ใจการปกป้องข้อมูลลูกค้า เพราะต่อให้ข้อมูลหลุด ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีการลงโทษ ไม่มีค่าปรับตาม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค ไม่เคยต้องจ่ายเงินชดเชยความผิดพลาดของตนเอง เพราะรัฐบาลอ่อนแอในการบังคับใช้กฎหมาย นี่เราเป็นประเทศแบบไหนที่ปล่อยให้โจรมาสอนรัฐบาล

รวมๆ แล้ว ในกระบวนการกลางน้ำ การที่เรามีนายกฯ ชื่อแพทองธาร ชินวัตร กลับทำให้ทุกอย่างติดขัดไปหมด เพราะจะแก้เรื่องไหนก็ติดประโยชน์ของกลุ่มทุนใกล้ตัว จะแก้ปัญหาให้ได้ผลหนีไม่พ้นต้องมีการลงโทษให้กลุ่มทุนร่วมรับผิดชอบจ่ายเงิน แต่รัฐบาลเกรงใจทุกคนยกเว้นประชาชน รัฐบาลเห็นประชาชนสำคัญน้อยที่สุด จึงเอาประโยชน์ของประชาชนไว้ทีหลัง 

มาถึงส่วนสุดท้าย “กระบวนการปลายน้ำ” คือการปราบปรามอาชญากรรมและจัดการอาชญากรทั้งระบบ การบริหารที่ผิดพลาดของนายกฯ แพทองธาร ทำให้ประเทศไทยตอนนี้กลายเป็นสวรรค์ของอาชญากรโดยสมบูรณ์แบบ เรื่องแรกคือการปล่อยให้สิ่งที่เป็นเสมือนเกราะป้องกันด่านแรกสุดของเราคือระบบเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometrics) ของสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ใช้การไม่ได้ ไม่สามารถเก็บอัตลักษณ์ใครเพิ่มได้อีกแล้ว และไม่สามารถเก็บได้เลยมาตลอดปี 2567 

เรามีการให้ฟรีวีซ่ากับนักท่องเที่ยวหลากหลายชาติ เห็นแล้วว่าคนที่เข้าประเทศไทยไม่ได้มีแค่นักท่องเที่ยว แต่ยังมีบรรดาแก๊งอาชญากรที่แฝงตัวเข้ามาด้วย ดังนั้นการเก็บข้อมูลไบโอเมตริกซ์จึงมีความสำคัญอย่างมาก เพราะบางครั้งคนเหล่านี้มีหลายสัญชาติ มีหลายพาสปอร์ต จะทำให้การตรวจจับยิ่งยากขึ้น จึงต้องพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล 

นี่คือเรื่องที่นายกฯ รับผิดชอบโดยตรง เพราะตำรวจอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนายกฯ ระบบไบโอเมตริกซ์ที่หมดอายุไป สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ก็วางแผนว่าจะมีระบบใหม่มาแทนที่ แต่ต้องใช้เวลากว่าระบบพร้อมใช้งานคือเกือบ 3 ปี แล้วต้องนับตั้งแต่วันที่มีการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งปัจจุบันยังร่าง TOR กันอยู่เลย นี่หรือการบริหารงานของมืออาชีพที่มีแต่คำโฆษณา แม้แต่ความปลอดภัยเบื้องต้นยังมอบให้กับคนไทยไม่ได้เลย 

รักชนกตั้งคำถามต่อว่า ที่ผ่านมาการแก้ปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์ เราเคยเห็นรัฐบาลจัดการพวกตัวการใหญ่ได้บ้างหรือไม่ จับได้แต่ปลาซิวปลาสร้อย จัดการตัวเล็กตัวน้อย ทำแบบนี้อีกร้อยปีก็จัดการถอนรากถอนโคนแก๊งคอลเซนเตอร์ไม่ได้ จึงอดตั้งคำถามไม่ได้ว่าหรือพวกตัวใหญ่ๆ ในขบวนการเหล่านี้ เกี่ยวข้องกับคนในรัฐบาล

ยกตัวอย่างกรณีการสั่งย้าย พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินทร์ต๊ะสืบ หรือ “ผู้การต๊ะ” ที่ปัจจุบันถูกสั่งย้ายเนื่องจากข้อกล่าวหาเชื่อมโยงกับ “เมียวดีคอมเพล็กซ์” แต่สั่งย้ายแล้วยังไงต่อ มีการนำไปขยายผลต่อหรือไม่ หลายคนตั้งคำถามว่านายกฯ จะกล้าทำอะไรจริงจังหรือไม่ เพราะเบื้องหลังของคนๆ นี้คือนักการเมืองที่มีอิทธิพลแถวเชียงราย อักษรย่อ ย. ที่ผู้การต๊ะเคยรับใช้ เป็นลูกน้องคนสนิทของพ่อนายกฯ อีกเช่นกัน

นอกจากเกี่ยงกันตัดไฟ เกี่ยงปิดท่าข้าม ยังเกี่ยงกันออกหมายจับ “หม่องชิตตู”  ซึ่งเป็นผู้นำกองกำลังกะเหรี่ยง BGF ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าร่วมกับแก๊งจีนเทาในการสร้างความยิ่งใหญ่ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ในพื้นที่ที่ตัวเองควบคุมอยู่ คือ เมียวดี ชเวก๊กโก โดยเป็นการเกี่ยงกันระหว่าง DSI กับ อัยการสูงสุด ตอนนี้ผ่านไปสามสัปดาห์แล้วก็เงียบ ไม่รู้จะออกหมายจับได้หรือไม่ ทั้งที่หม่องชิตตู่มีคดียาวเป็นขบวน ประเทศอื่นประกาศแบล็คลิสต์ ทำไมประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย

ที่ต้องปราบปรามจัดการให้สิ้นซาก ยังมีนายทุนไทยเทา เจ้าของบ่อนผู้กว้างขวางฉายา “ตือ คอสโม่” 
ที่เข้าถึงคนในวงการการเมือง เข้าถึงคนในวงการตำรวจ มีบ่อนในประเทศไทย โดนบุกทลายกี่ครั้ง ก็กลับมาเปิดได้เพราะผู้สนับสนุนเบื้องหลังแข็งแกร่ง ถ้านายกฯ แพทองธารจริงจังที่จะจัดการธุรกิจสีเทาแบบที่พูดว่า “ไม่จบไม่เลิก” ก็ต้องกล้าเล่นงานตัวใหญ่ๆ แบบ “ตือ คอสโม่” ให้ได้ 

รักชนกกล่าวว่า การตั้งต้นเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีตึก มีอาคาร อิฐหินดินปูน แก๊งมิจฉาชีพต้องใช้ไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตมหาศาล ต้องหลีกหนีกฎหมายในรูปแบบต่างๆ แต่ก็ได้เจ้าหน้าที่รัฐไทย อำนวยความสะดวก “เจอ จ่าย จบ” ถ้ามีเงินมากพอ กฏหมายทุกอย่างสามารถยกเว้นได้ ลองคิดดูว่าถ้าฟันเฟืองใดฟันเฟืองหนึ่งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทำงานไม่ดี ทำงานไม่สำเร็จ มันจะตัดจบที่ขั้นตอนนั้นไปแล้ว แต่ทุกอย่างกลับเอื้อให้เขาทำสำเร็จทุกขั้นตอน และเกี่ยวกับประเทศไทยทุกขั้นตอน อาชญากรรมออนไลน์จึงเติบโ

ย้ำอีกทีว่า ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ไม่ใช่แค่เรื่องไร้ประสิทธิภาพ แต่คือความจงใจปล่อยปละละเลยเพราะผลประโยชน์ทับซ้อนเบื้องหลังมหาศาล ความหน้าไหว้หลังหลอกของรัฐบาลแพทองธาร คือเขียนสิ่งเหล่านี้ไว้ในคำแถลงนโยบาย แต่พอดูไส้ใน ทุกกระบวนการกลับไม่ลงมือทำอะไรจริงจัง ปัญหาที่ดูเหมือนว่าจะคลี่คลายไป แต่แท้จริงแล้วพร้อมที่จะปะทุขึ้นได้ตลอดเวลาเพราะรัฐบาลไม่เคยแก้ปัญหาที่ต้นตอแบบถอนรากถอนโคน 

“ไม่กล้าแตะต้องผลประโยชน์ของกลุ่มทุน เพราะไม่ว่าจะทุนกลุ่มไหนก็เคยร่วมโต๊ะอาหารกับพ่อนายกฯ ไม่กล้าจัดการไทยเทา การคอร์รัปชันมีในทุกระดับ แต่นายกฯ ทำเป็นมองไม่เห็น ทำให้ประเทศเรากลายเป็นสวรรค์ของมิจฉาชีพ การทำดีลแลกประเทศกับชนชั้นนำและกลุ่มทุนของรัฐบาลนี้ทำให้ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ไม่จบซักที”

“ครอบครัวชินวัตรเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติ เอาอนาคตของทุกชีวิต ไปแลกกับผลประโยชน์ของตระกูลตัวเองหรือไม่ ขโมยโอกาสและความฝันของคนไทยไปทำแลกกับการพาพ่อกลับบ้านแบบไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว ด้วยเหตุนี้ ไม่อาจไว้วางใจให้ แพทองธาร ชินวัตร ดำรงตำแหน่งต่อไปได้อีกแม้แต่วันเดียว” น.ส.รักชนกล่าว

Message us