
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ที่โรงเรียนฝึกสอนควาญช้างและช้างราชมงคลสุรินทร์ ภายในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการอนุรักษ์ภูมิปัญญาการเลี้ยงช้างของหมอช้างและควาญช้าง และเยี่ยมชมบริเวณเกาะเสด็จ โดยมี อาจารย์ทรงยศ กิตติชนม์ธวัช คณบดีคณะเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี นายแก้ว บุตรชาติ (ปู่แก้ว) ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เคยทำหน้าที่ถวายการดูแลพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ พระยาช้างเผือก ประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร นายศิริชัย สมปาง นักประชาสัมพันธ์ สำนักงานวิทยาเขตสุรินทร์ ร่วมให้การต้อนรับและนำชม

โอกาสนี้ นายสุทธิพงษ์ และคณะ เดินตรวจเยี่ยมให้กำลังใจควาญช้าง ร่วมให้อาหารช้าง “พลายชุมพร” พร้อมเดินสำรวจบริเวณพื้นที่ภายในโรงเรียนฝึกสอนควาญช้างฯ และนำเดินสำรวจพลับพลาที่ประทับบริเวณเกาะเสด็จ ซึ่งเคยเป็นที่ประทับเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์

นายสุทธิพงษ์ เปิดเผยว่า ในโอกาสที่ตนได้เดินทางมาตรวจราชการเพื่อติดตามการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทยในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ระหว่างวันที่ 7-9 มิถุนายน 2567 ในเช้าวันนี้ จึงได้เดินทางมาเพื่อเยี่ยมและให้กำลังใจ คุณลุงแก้ว บุตรชาติ หรือที่ใครหลายคนเรียกว่า “ปู่แก้ว” ผู้ที่มีโอกาสสำคัญของชีวิตในการถวายงานพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ด้วยการถวายการดูแลพระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ พระยาช้างเผือกประจำรัชกาล พร้อมทั้งครอบครัวของลุงแก้ว ที่ในปัจจุบันได้ทำหน้าที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิของโรงเรียนฝึกสอนควาญช้างและช้างราชมงคลสุรินทร์ ภายในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์

ทั้งนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยินดี และน่าภาคภูมิใจยิ่งที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน เล็งเห็นความสำคัญของภูมิปัญญาด้านคชศาสตร์ ซึ่งในปัจจุบันนี้หาบุคคลที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องดังกล่าวน้อยมาก อีกทั้งคณะเกษตรศาสตร์และเทคโนโลยี ยังได้ส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยหลักสูตรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น หลักสูตร “การอนุรักษ์และจัดการช้าง” เพื่อเผยแพร่ภูมิปัญญาและสานต่อเจตนารมณ์การเลี้ยงช้างของคนสุรินทร์ เป็นต้น อันเชื่อมโยงสอดคล้องและสะท้อนถึงคุณค่าของภูมิปัญญาดังคำขวัญประจำจังหวัดสุรินทร์ที่ว่า “สุรินทร์ถิ่นช้างใหญ่ ผ้าไหมงาม ประค่าสวย ร่ำรวยปราสาท ผักกาดหวาน ข้าวสารหอม งามพร้อมวัฒนธรรม

นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า ตนยังได้มีโอกาสรับทราบข้อมูลจากลุงแก้ว เกี่ยวกับสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่เคยเป็นสถานที่ประทับเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมราชบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ เมื่อวันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2498 โดยจากข้อมูลบันทึก ทำให้ได้ทราบว่า ในเวลา 16.30 น. ของวันดังกล่าว ล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์ ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมชมกิจการของโรงเรียนเกษตรกรรมสุรินทร์ (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ ในปัจจุบัน) แล้วเสด็จพระราชดำเนินประทับบนศาลารับเสด็จซึ่งโรงเรียนเกษตรกรรมและจังหวัดสุรินทร์สร้างถวาย ณ บริเวณทิศใต้ของโรงเรียน ซึ่งบริเวณนี้มีลักษณะเป็นเกาะ มีลำน้ำล้อมรอบ และพระองค์ได้เสวยพระสุธารสชา พร้อมทั้งมีพระราชปฏิสันถาร กับอาจารย์ธรรมนูญ สิงคเสลิต ครูใหญ่ของโรงเรียนในขณะนั้น โดยทรงซักถามกิจการของโรงเรียนด้วยความสนพระทัย” นายสุทธิพงษ์ กล่าวในช่วงต้น

“จากข้อมูลที่เคยมีการจดบันทึกไว้ และจากภาพที่ปรากฏในการเดินสำรวจศาลารับเสด็จ บริเวณเกาะเสด็จ ในวันนี้ พบว่า ศาลารับเสด็จ เป็นศาลาไม้ทรงจตุรมุข ยกพื้น มีบันไดขึ้นลง 4 ด้าน หน้ามุกทุกด้านฉลุลวดลายงดงาม ศาลาหลังนี้เป็นศาลาประวัติศาสตร์ที่ชาวเกษตรสุรินทร์ทุกคนภาคภูมิใจ นอกจากการสร้างศาลารับเสด็จแล้ว ยังมีการสร้างห้องลงพระบังคน ขึ้นอีก 1 หลัง อยู่ทางทิศใต้ ห่างไปประมาณ 10 เมตร ภายในห้องโรงพระบังคน มีโถพระบังคน ซึ่งทำจากไม้สักทองทั้งชุด แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไป ทำให้ศาลารับเสด็จและห้องลงพระบังคน มีสภาพทรุดโทรมลง ทางโรงเรียนฯ ซึ่งต่อมาได้ยกฐานะเป็นวิทยาลัย และเป็นมหาวิทยาลัยตามลำดับ ได้มีการบูรณะถึง 4 ครั้ง คือในปี 2531 ปี 2537 ปี 2548 และปี 2549 แล้วเสร็จในปี 2550” นายสุทธิพงษ์ กล่าว

อย่าไรก็ตาม นับถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลา 17 ปี ที่ศาลารับเสด็จ บริเวณเกาะเสด็จ ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ ไม่ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ ซึ่งสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ สะท้อนถึงความรัก ความผูกพัน และความปรารถนาดีของสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อพสกนิกรชาวไทย รวมถึงการจัดการศึกษาเพื่อความวัฒนาสถาพรของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การศึกษาด้านเกษตรศาสตร์ ที่ถือเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของบรรพบุรุษไทย ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงให้ความสนพระทัยและพระราชทานแนวพระราชดำริ ตลอดจนทฤษฎีใหม่นานัปการ เพื่อต่อยอดภูมิปัญญาประยุกต์เข้ากับเทคโนโลยี ทำให้การเกษตรกรรมไทยเป็นอาชีพที่คงอยู่คู่กับประเทศไทยตราบถึงปัจจุบัน แต่ด้วยกาลเวลา ด้วยสภาพอากาศ และความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพนานาประการ รวมถึงงบประมาณการดำเนินงานของภาครัฐที่จำกัด จึงทำให้บริเวณพื้นที่แห่งนี้มีความชำรุดทรุดโทรม มีต้นหญ้าวัชพืชขึ้นรก และในหนองน้ำมีผักตบชวาเป็นจำนวนมาก

นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 กระทรวงมหาดไทย จะได้ร่วมกับกรมโยธาธิการและผังเมือง จังหวัดสุรินทร์ และมหาวิทยาลัยราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์เป็นแม่กอง ด้วยการบูรณาการร่วมกับอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง บูรณะบริเวณศาลารับเสด็จแห่งนี้ ให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมต่อการอนุรักษ์เพื่อการเรียนรู้ และจัดทำเป็นเขตอภัยทาน นอกจากนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ได้เป็นผู้นำประชาชนจิตอาสา ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร้อยรวมพลังร่วมกันปรับปรุงภูมิทัศน์ ถางหญ้า วัชพืช ขุดลอกหนองน้ำ จัดเก็บผักตบชวา และจัดทำป้ายความรู้พร้อมทั้ง QR Code ติดบริเวณต้นไม้ชนิดต่าง ๆ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านพฤกษศาสตร์ตามโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี บริเวณเกาะเสด็จแห่งนี้ เพื่อพวกเราทุกคนจะได้ร่วมกันภาคภูมิใจ และร่วมทำให้พื้นที่แห่งนี้ได้เป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์อันสำคัญ ที่ยังคงเหลือไว้ให้อนุชนคนรุ่นหลัง ลูกหลานชาวสุรินทร์และลูกหลานไทยทุกคน ได้ภาคภูมิใจและเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสถานที่สำคัญแห่งนี้ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวคงอยู่คู่กับจังหวัดสุรินทร์อย่างยั่งยืนตลอดไป
