
เสียงสะท้อนความเดือดร้อนของผู้ประกอบการรายเล็ก
ผศ.ดร.เจริญ เจริญชัย นักวิชาการด้านเทคโนโลยีอาหารและเครื่องดื่ม ผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ… และรองประธานคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า ตนเป็นนักวิชาการและอาจารย์ด้านเครื่องดื่ม และเป็นแอดมินเว็บไซต์และเพจเฟสบุ๊คสุราไทย เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารและความรู้ทางวิชาการเกี่ยวกับการทำสุรา และแลกเปลี่ยนกับผู้ที่สนใจในเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวกับสุรา ที่ผ่านมาตนได้พบปะและให้คำปรึกษากับคนที่สนใจและรักการทำสุราทุกเพศทุกวัยจากทั่วประเทศ รวมถึงนักศึกษาและเด็กรุ่นใหม่ที่อยากสร้างสรรค์สุราคราฟต์ อยากเป็นเจ้าของกิจการโรงเบียร์ โรงกลั่น หรือเปิดร้านเหล้าเพื่อเป็นที่ใช้เวลาว่างสังสรรค์กับเพื่อนฝูง แต่กฎหมายควบคุมแอลกอฮอล์ของรัฐสร้างอุปสรรคในการทำมาหากินหรือสร้างสรรค์สินค้าที่มีคุณภาพ และไม่ส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม ตั้งแต่มีกฎหมายนี้ การให้ข้อมูลทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีความสุ่มเสี่ยงจะถูกดำเนินคดี แม้แต่การโพสต์ภาพหรือพูดถึงโดยไม่ได้ชักจูงหรือโฆษณาเพื่อประโยชน์ทางการค้าก็ยังถูกจับ ปรับ ในอัตราโทษที่สูงได้ ใครไม่ยอมจ่ายค่าปรับก็อาจต้องไปสู้คดีความในศาล

ทั้งนี้ ช่วงก่อนโควิด ราวปลายปี 2563 มีการลักไก่ออกกฎหมายห้ามขาย โพสต์ หรือสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งสวนทางกับเทรนด์เทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภค และการเติบโตของอีคอมเมิร์ซทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย โดยผู้ออกกฎหมายยอมรับในที่ประชุมรับฟังความคิดเห็นที่มีผู้ประกอบการสุรา ค้าปลีก ค้าส่งหลายร้อยรายเข้าร่วมประชุมว่ากฎหมายยังไม่สมบูรณ์ ต้องปรับปรุงอีกมาก แต่จะต้องนำบังคับใช้ก่อนแล้วจะรีบแก้ไขในภายหลัง จนปัจจุบันผ่านไปแล้ว 3 ปีครึ่ง ก็ยังไม่มีการแก้ไขปรับปรุงใดๆ ตามที่ประกาศเป็นสัญญาประชาคมไว้บนเวที ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการบังคับใช้กฎหมายแบบสุดโต่ง ไล่จับประชาชนและผู้ประกอบการทั้งก่อนและในระหว่างยุคโควิด ซึ่งทุกคนกำลังเผชิญกับทั้งวิกฤติชีวิตและวิกฤติเศรษฐกิจ ทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าปรับในอัตราที่สูง ไม่สมสัดส่วน บางคนต้องโทษคดีอาญา ซึ่งสร้างความเดือดร้อน ไม่ได้รับความยุติธรรม และสงสัยว่าอาจจะมีแรงจูงใจในการดำเนินการบังคับกฎหมายที่เข้มข้นมาจากสินบนรางวัลที่สูงถึงร้อยละ 60-80 ของค่าปรับหรือไม่

กฎหมายคุมแอลกอฮอล์สุดโต่งแก้ปัญหาเมาแล้วขับไม่ตรงจุด ย้ำต้องยกเครื่อง-สร้างสมดุล
ผศ.ดร.เจริญ กล่าวด้วยว่า พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 และมาตรการต่างๆ ที่ออกตามมานั้นไม่ได้ช่วยลดปัญหาเมาแล้วขับ เมาหัวราน้ำ หรือป้องกันการเข้าถึงแอลกอฮอล์ของผู้เยาว์อย่างถูกที่ถูกทาง แต่เป็นกฎหมายที่ตัดแข้งตัดขาผู้ประกอบการรายเล็ก ผู้ผลิตระดับชุมชน และทำให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตไม่ได้ แต่กลับมีนัยยะเอื้อประโยชน์ให้กับทุนใหญ่ เพราะทุนใหญ่มีสินค้าเป็นที่รู้จักอยู่แล้วโดยไม่จำเป็นต้องทำการโฆษณาสินค้าโดยตรง แต่สามารถทำโฆษณาโดยใช้เครื่องหมายการค้าของสินค้าที่มีความคล้ายคลึงกันได้ ในขณะที่ผู้ประกอบรายเล็กมีทุนน้อย ไม่มีศักยภาพพอที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ได้หลากหลายประเภทพร้อมกระจายสินค้าในวงกว้าง และไม่มีงบประมาณในการทำโฆษณาหรือการตลาดจำนวนมากเหมือนรายใหญ่ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ส่วนมากกระทำ ณ จุดขาย หรือช่องทางออนไลน์ จึงส่งผลให้โอกาสที่สินค้าจะเป็นที่รู้จัก หรือได้รับความนิยมมีน้อยกว่า

“เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยและสังคมโลกมานาน แน่นอนว่ามีทั้งคนดื่มและคนไม่ดื่ม คนที่ชอบและไม่ชอบ คนที่ไม่ดื่มหรือไม่ชอบ เราต้องเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน ประเด็นอยู่ตรงที่เราต้องทำให้คนดื่มดื่มแค่พอประมาณ ดื่มอย่างมีความรับผิดชอบ มีความตระหนักรู้ ดื่มแล้วไม่ขับ ไม่ก่อความเดือดร้อน ส่วนคนขายและคนให้บริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ต้องรับผิดชอบต่อลูกค้าและสังคม โดยไม่ขายให้เด็กและคนเมา ไม่ปล่อยคนเมาออกไปขับ ซึ่งมาตรการควบคุมการโฆษณาและกฎหมายสุดโต่งแต่กำกวมต่างๆ ที่ออกมาบังคับใช้ต่อเนื่องและเข้มข้นของภาครัฐนั้นแก้ไขปัญหาไม่ตรงจุด ปัญหาอุบัติเหตุจราจรที่เกิดเมาแล้วขับ ต้องให้ตำรวจซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายโดยตรงดำเนินการอย่างเข้มแข็งตรงไปตรงมา เพื่อจำกัดไม่ให้คนเมาอยู่บนถนน ไม่ใช่ให้รัฐออกมาตรการห้ามดื่มและออกแคมเปญตีตราให้ผู้ดื่มและผู้ประกอบการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นคนบาป เป็นผู้ร้ายของสังคม พวกเขาเหล่านี้มีสิทธิโดยชอบภายใต้รัฐธรรมนูญในฐานะประชาชนที่จะประกอบกิจกรรมหรือดำเนินธุรกิจโดยสุจริต รับผิดชอบต่อตนและส่วนรวม หากกฎหมายได้รับการยกเครื่องโดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งภาคประชาชนและผู้ประกอบการ มีความสมดุลที่จะเอื้อให้รัฐบรรลุเป้าหมายทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจ ผู้ประกอบการเหล่านี้จะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทยผ่านการยกระดับอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ก้าวไกลไประดับโลก รวมถึงยกระดับรายได้จากภาษีและการท่องเที่ยวได้แน่นอน ขณะนี้ประเทศไทยมีทั้งคน เทคโนโลยี วัตถุดิบ ภูมิปัญญา และซอฟต์พาวเวอร์ เราขาดแค่การปลดล็อคกฎหมายให้มองผลลัพธ์ในอนาคตและเอื้อต่อการพัฒนา” ผศ.ดร.เจริญ กล่าว

ทั้งนี้ ผู้ร่วมเวทีเสวนา “32 Civilized, No More Total Ban: ยกเครื่องกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สู่สังคมที่ดีกว่า” ประกอบด้วย ผศ.ดร.เจริญ เจริญชัย นักวิซาการด้านเทคโนโลยีอาหารและเครื่องดื่ม, น.ส.เขมิกา รัตนกุล นายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย (TABBA), น.ส.ประภาวี เหมทัศน์ เลขาธิการสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจคราฟท์เบียร์ (สมาคมคราฟท์เบียร์), นายศุภพงษ์ พรึงลำภู ตัวแทนผู้ผลิตสุรารายย่อย, นายศุภวิชญ์ มุททารัตน์ เจ้าของกิจการบาร์ค็อกเทลและบาร์เทนเดอร์แถวหน้าของประเทศไทย, น.ส.สุวิสุทธิ์ โลหิตนาวี เลขาธิการสมาคมผู้ประกอบการไวน์ไทย (Thai Wine Association; TWA) และตัวแทนผู้ผลิตสุราและสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร, และนายอาทิตย์ ศิวะหรรษาพันธ์ ตัวแทนภาคประชาชน ซึ่งผู้เสวนาทั้งเจ็ดเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….

อย่างไรก็ตรม เมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ.2567 ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้พิจารณาและลงมติรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. ….. รวม 5 ฉบับ ซึ่งเสนอโดย นายเจริญ เจริญชัย กับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 10,942 คน, นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร กับคณะ, นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ กับคณะ, นายธีรภัทร์ คหะวงศ์ กับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 92,978 คน, และคณะรัฐมนตรี และได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างฯ โดยการประชุมคณะกรรมาธิการเริ่มต้นครั้งแรกในวันพุธที่ 3 เมษายน 2567 จนถึงปัจจุบัน มีการประชุมมาแล้ว 30 ครั้ง