ปั้น”นครพนมโมเดล”ยกระดับเมืองและกระตุ้นศก.ท้องถิ่น

เมื่อวันที่ 5 เมษายน ที่โรงแรมบลู อำเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายสนั่น อังอุบลกูล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย แถลงข่าวการขับเคลื่อนการยกระดับเมืองและกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างยั่งยืน (นครพนมโมเดล) โดยมี นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ดร.กฤษณะ วจีไกรลาศ เลขาธิการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายธนพัต ทีฆธนานนท์ ประธานหอการค้าจังหวัดนครพนม ร่วมแถลงข่าว

นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนในทุกพื้นที่ ด้วยการพัฒนาเมืองรองให้เป็นเมืองหลักโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (UN SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ โดยกระทรวงมหาดไทยได้นำนโยบายดังกล่าว ขับเคลื่อนอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง ได้แก่ ประการที่ 1. สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดให้ความสำคัญกับการเป็น Partner ที่ดีของหอการค้าและคณะกรรมการร่วมภาครัฐ และเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) และทุกภาคส่วนในพื้นที่ โดยกำหนดเป็น KPIs ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องร่วมประชุม ร่วมปรึกษาหารือ เพื่อหาข้อสรุปในการช่วยกันแก้ไขปัญหา ช่วยกันพัฒนา ช่วยกันดำเนินการเป็นประจำต่อเนื่องเดือนละ 1 ครั้ง

ประการที่ 2. ให้ทุกจังหวัด ทำงานบนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ซึ่งในปีนี้ทุกหมู่บ้านทั่วประเทศ ภายใต้การนำของผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอจะทำให้เกิดการรวมกลุ่ม รวมตัว เพื่อดูแลหมู่บ้านทุกหมู่บ้านให้เป็นหมู่บ้านที่สอดคล้องกับการเป็นเมืองท่องเที่ยว คือเป็น “หมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village)” ด้วยการขับเคลื่อน SDGs สอดคล้องกับความมุ่งมาดปรารถนา เพื่อหนุนเสริมทำให้จำนวนนักท่องเที่ยว จำนวนคน จำนวนเวลาให้นานขึ้น อันจะทำให้คนนครพนมมีโอกาสสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวมากขึ้น ทำให้นครพนมเป็น Restination ประการที่ 3.ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพูดคุยหารือกับ 7 ภาคีเครือข่าย ทั้งภาคราชการ ภาคศาสนา ภาควิชาการ ภาคธุรกิจเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน และภาคสื่อสารมวลชน วิเคราะห์ค้นหาจุดแข็ง/จุดอ่อนในทุกพื้นที่ เพื่อกำหนดวิธีการพัฒนาต่อยอดตอบสนองการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนในจังหวัด เพราะนครพนมมีจุดแข็งหลายประการ อาทิ มีเส้นทางขี่จักรยานชมแม่น้ำโขงที่ดีที่สุดในโลกอยู่ที่นครพนม และพุทธศาสนิกชนมีความเชื่อว่าหากใครได้เวียนเทียนรอบพระธาตุพนมครบ 7 ครั้ง จะรอดปลอดภัย อันสะท้อนว่า นครพนมมีเรื่องราว (Story) และมี Soft Power มากมาย ทั้งสุขภาพ อาหาร เสื้อผ้า เป็นต้น

สำหรับ ประการ 4. หนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญของหมู่บ้านยั่งยืน คือ “ความปลอดภัย” โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยเฉพาะเรื่องยาเสพติด ซึ่งขณะนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ได้ร่วมกับทีมจังหวัด ค้นหาคนจิตเภทจากการใช้สารเสพติดและจากโรคทางจิตเวชเข้ารับการบำบัดรักษา เพื่อป้องกันคนกลุ่มนี้ไม่ให้สร้างความหวาดระแวงให้กับสังคม อันจะหนุนเสริมให้เกิดเมืองที่น่าอยู่ปลอดภัย ประการที่ 5.ในเรื่องการจัดการน้ำเสีย ในเชิงระบบ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง ได้ออกกฎกระทรวง ฉบับที่ 71 (พ.ศ. 2566) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ซึ่งกำหนดเกี่ยวกับระบบการระบายน้ำ ระบบบำบัดน้ำเสีย และการกำจัดขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกูลตั้งแต่ครัวเรือน เพื่อให้ระบบการระบายน้ำทิ้งเป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยในส่วนของระบบบำบัดน้ำเสียรวม องค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) สามารถขับเคลื่อนร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เริ่มตั้งแต่การศึกษาเพื่อวางแผน และเมื่อมีผลการศึกษาจึงเข้าสู่กระบวนการจัดทำคำของบประมาณ

ส่วน ประการที่ 6.กระทรวงมหาดไทยได้ช่วยหนุนเสริมให้นครพนมมีช่องทางสื่อสารสิ่งที่เป็นเรื่องที่ดีเด่นสู่สังคมมากขึ้น ทั้ง Branding Packaging อาทิ “นาหว้าโมเดล” ของศูนย์ศิลปาชีพแห่งแรกในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม ทั้งนี้ ในแง่เชิงระบบ เราต้องใช้งบลงทุนจำนวนมากในการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น โดยมีนักธุรกิจเป็นผู้นำ รัฐหนุนเสริม

นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า จากการร่วมหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม และประธานหอการค้าจังหวัดนครพนม ทำให้เห็นว่า ภาคีเครือข่ายของจังหวัดนครพนมมีความ Smart คือ ทำการบ้านดี มีเป้าหมายที่ชัดเจน เพื่อทำให้นครพนมมีเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจที่มั่งคั่งและยั่งยืน คือ การสร้างตัว สร้างภาพ สร้างเรื่อง สร้างชื่อ สร้างโลก อย่างมีเสน่ห์ ที่จะทำให้ทุกจังหวัดได้ประโยชน์นอกเหนือจากการที่จังหวัดนครพนมได้รับประโยชน์เพียงจังหวัดเดียว ทั้งนี้ ขอฝากพี่น้องชาวนครพนม ภายใต้การนำของผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม และประธานหอการค้าจังหวัดนครพนม ต้องช่วยกันสร้างพลังความร่วมมือของภาคีเครือข่าย ทำให้นครพนมที่มีของดีอยู่แล้ว ได้รับการยกระดับอย่างก้าวกระโดด คือ “ทำให้คนทั่วโลกมานครพนมได้ 365 วัน” ทั้งการเป็น “เมืองแห่งการทำงาน” ต้อง เพิ่มประสิทธิภาพระบบสื่อสาร “เมืองแห่งการออกกำลังกาย” ที่ต้องมีกิจกรรมทั้ง 12 เดือน เพื่อกำหนดปฏิทินการท่องเที่ยว เช่น 12 เดือนแห่งการปั่น สลับไปในทุกอำเภอ

อย่างไรก็ตาม เรามีความหวัง ว่า นครพนมจะนำฤกษ์นำชัยทำให้การยกระดับเมืองและกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างยั่งยืนประสบความสำเร็จ ตามที่นายกรัฐมนตรี มีความมุ่งมั่นแน่วแน่ ทำให้ 10 จังหวัด เป็นเรือธงใหม่ของรัฐบาล เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง โดยกระทรวงมหาดไทยจะร่วมกับทุกกระทรวง ร่วมกันผลักดันให้ประสบความสำเร็จ และขอให้พวกเราได้ช่วยกันทำให้เต็มที่ “นครพนมต้องประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน” ภายใต้การร่วมไม้ร่วมมือของพวกเราทุกคน

ด้าน นายสนั่น กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี เห็นชอบกับแนวคิดที่หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยเสนออันสอดคล้องกับทางรัฐบาล คือ การพัฒนา 10 จังหวัด เพื่อจะได้เป็นพื้นที่ตัวอย่างของความร่วมมือรัฐบาลกับเอกชน และภาคส่วนต่าง ๆ ที่จะมาช่วยกันร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ GDP เติบโตขึ้นจากเพียง 1.9% เป็น 5% และมีความคาดหวังว่า หอการค้าไทยและสภาหอการค้าฯ ต้องลดความเหลื่อมล้ำและยกระดับเศรษฐกิจของไทย จึงมีดำริให้หอการค้านำภาคเอกชนไปทำอย่างเต็มที่ และภาครัฐจะสนับสนุนเต็มที่ จึงเป็นที่มาของการ kick off โครงการยกระดับเมืองและกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างยั่งยืนที่จังหวัดนครพนม เพราะภาคีเครือข่ายมีความเข้มแข็ง โดยเรามองว่า จะประสบความสำเร็จแน่นอน ด้วยการต้องเผชิญกับความท้าทาย คือ 1) ต้องแข่งกับเทคโนโลยี 2) ต้องดูแลสิ่งแวดล้อม 3) ต้องมีการ Challenge ตลอดเวลา

ขณะที่ นายวันชัย กล่าวว่า นครพนมเป็นเมืองที่รวม 3 ที่สุด คือ ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด สะพานข้ามแม่น้ำโขงที่สวยที่สุด วิวทิวทัศน์ที่สวยที่สุด โดยปี 2565 – 2566 เรามีอัตราเจริญเติบโตท่องเที่ยวสูงสุดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ด้วยเสน่ห์และอัตลักษณ์ของ 9 ชนเผ่า 2 เชื้อชาติ และน้ำจิต น้ำใจ แม้เรามีสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่มาก แต่สามารถบริหารได้ดี เราเป็นจังหวัดขนาดเล็กที่บูรณาการทำงานร่วมกันทั้ง 7 ภาคีเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลทำให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวจำนวนมาก และปีนี้เรามีกิจกรรมสำคัญ เช่น ไหลเรือไฟ งานปีใหม่ นมัสการพระธาตุพนม และมหกรรมบอลลูน มีนักท่องเที่ยวมาเยือนไม่ต่ำกว่าวันละ 100,000 คน และที่จะเกิดเร็ว ๆ นี้คือ งานสงกรานต์ นอกจากนี้ ในเรื่องคมนาคมขนส่งเรามีความพร้อม ถนนหนทางดี และจะพัฒนาท่าอากาศยานนครพนมสู่ท่าอากาศยานนานาชาติ เพื่อเชื่อมนานาประเทศ เชื่อมเศรษฐกิจสังคม วัฒนธรรม การท่องเที่ยวในอนาคต

“เรามีองค์พญาศรีสัตตนาคราช แลนด์มาร์คแห่งความศรัทธาของชาวจังหวัดนครพนม มีพระธาตุประจำวันเกิดทั้ง 8 พระธาตุ ซึ่งสิ่งที่เราจะต่อยอดสู่การพัฒนาเมืองนครพนมหลังจากนี้ เรามุ่งพัฒนาด้านต่าง ๆ ได้แก่ 1) การบริหารจัดการน้ำเสีย เป็นสิ่งแรกที่เราจะพัฒนา 2) นครพนม eye คือ ชิงช้าสวรรค์ 3) หอชมเมือง 4) ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยน้อมนำแนวทาง “หมู่บ้านยั่งยืน” และการสำรวจสภาพปัญหาด้วยระบบ ThaiQM มาแก้ปัญหา โดยเราเป็นจังหวัดต้นแบบด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดของ ปปส. 5) ด้านสาธารณสุข และ 6) ด้านการศึกษา ซึ่งสิ่งสำคัญ วันนี้เรากำหนดคำขวัญการทำงานว่า “ทีมนครพนมเพื่อไปสู่เมืองที่มีประสิทธิภาพ” เราจะร่วมกันพัฒนานครพนมไปสู่เมืองหลักในอนาคต ในเร็ว ๆ นี้ให้ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน” นายวันชัย กล่าว

ด้านนายธนพัฒน์ กล่าวว่า ภายใต้การยกระดับเมืองและกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างยั่งยืน (นครพนมโมเดล) เราได้กำหนดเป้าหมาย ระยะ 5 ปีจะมี GDP เติบโต 7% ทุกปี รายได้ประชากรเติบโต 5% ทุกปี ทั้งนี้ ปี 2566 มีรายได้จากการท่องเที่ยว 3,500 ล้านบาท เราจะทำให้ใน 5 ปีข้างหน้า เพิ่มขึ้นเป็น 8,700 บาท ในด้านจำนวนนักท่องเที่ยว ปี 2566 มีจำนวนนักท่องเที่ยว 2.5 ล้านคน เราจะทำให้ใน 5 ปีข้างหน้า มีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 3.6 ล้านคน

“เรานำหลัก 5 สร้าง คือ “สร้างตัว” โดยกำหนด Sustainable Goals เพื่อการพัฒนาที่มีประสิทธิภาพ “สร้างภาพ” ภาพลักษณ์ของนครพนมที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว “สร้างเรื่อง” นำเสนอเรื่องราวเพื่อดึงดูดการท่องเที่ยว เพื่อทำให้เศรษฐกิจยั่งยืนมากขึ้น “สร้างชื่อ” ทำให้เกิดนครพนมแฟชั่นวีค เริ่มจากนาหว้าโมเดล และ “สร้างโลก” ให้งานกิจกรรมประเพณีเป็นงานระดับโลก โดยภาคเอกชนพร้อมขับเคลื่อนกับทุกภาคส่วน ทำให้ “นครพนมเป็นเมืองหลักแห่งการพักผ่อนให้ได้”” นายธนพัฒน์ กล่าว

ดร.กฤษณะ กล่าวว่า เราจะนำความเห็นจากการระดมข้อเสนอแนะในวันนี้ ไปจัดทำข้อสรุปนำเสนอต่อที่ประชุมคณะทำงาน เพื่อนำเสนอโครงการที่จังหวัดจะขับเคลื่อนโดยกลไกภาคเอกชน และขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลต่อไป และคณะฯ จะลงพื้นที่กาญจนบุรี ในวันที่ 7 มิ.ย. 67 และนครศรีธรรมราช 5 ก.ค. 67 และมีแผนจะลงเยี่ยมและประชุมกับทุกจังหวัดต่อไป

Message us