
ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่า ปี 2568 ตั้งงบฯลงทุน 25,000 ล้านบาท จากงบฯลงทุน 5 ปี (2568-2572) ที่ 55,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่อก๊าซ, ท่าเรือ, เทรดดิ้ง โดยเน้นลงทุนในกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับบริษัทในการประกอบธุรกิจและสร้างรายได้ ผลกำไรและผู้ถือหุ้น โดยการลงทุนดังกล่าวน้อยกว่าปีที่ผ่านมาเล็กน้อย ซี่งปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 2.6 หมื่นล้านบาท โดยปตท.วางกลยุทธ์การลงทุนที่ไม่สูงมาก แต่เน้นการสร้างผลกำไรในระดับ และคุ้มค่า ไม่ต้องใช้เงินจำนวนมาก
ดร.คงกระพัน กล่าวถึงนโยบายของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ในการปรับโครงสร้างการลดค่าก๊าซ หรือ Pool Gas เพื่อลดค่าไฟงวด พ.ค.-ส.ค. 68 ลงอีก 40 สตางค์ว่า ปตท.ยังไม่ได้รับการประสานหรือพูดคุยจากกระทรวงพลังงาน แต่ในปี 2567 ปตท.ได้เข้าสนับสนุนราคาก๊าซในการลดค่าไฟ พร้อมสนับสนุนราคาพลังงาน เช่น LNG, NGV เป็นวงเงิน 28,000 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานของปี 2567 เปรียบเทียบกับปี 2566 ในปี 2567 ปตท.และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายจำนวน 3,090,453 ล้านบาท ลดลง 54,431 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.7 จากปี 2566 ที่จำนวน 3,144,884 ล้านบาท โดยกลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศมีรายได้จากการขายลดลง จากราคาขายผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันที่อ้างอิง แม้ว่าปริมาณขายเพิ่มขึ้น โดยหลักจากปริมาณการค้าน้ำมันสำเร็จรูปและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น
กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีรายได้จากการขายลดลง โดยหลักจากธุรกิจจัดหาและค้าส่งก๊าซ จากราคาขายเฉลี่ยปรับลดลงตามราคา Pool Gas รวมทั้งปริมาณขายก๊าซเฉลี่ยที่ลดลง
ขณะที่ธุรกิจโรงแยกก๊าซ มีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นจากปริมาณขายและราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ธุรกิจระบบท่อส่งก๊าซ มีรายได้เพิ่มขึ้นตามปริมาณการจองใช้ท่อของลูกค้าโรงแยกก๊าซ และโรงไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น
กลุ่มธุรกิจน้ำมันและการค้าปลีกมีรายได้จากการขายลดลงจากทั้งราคาขายเฉลี่ยและปริมาณขายที่ปรับลดลง
อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นจากปริมาณขายเฉลี่ยที่ปรับเพิ่มขึ้น แม้ว่าราคาขายเฉลี่ยปรับลดลง ในปี 2567 ปตท.และบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ต้นทุนทางการเงิน และภาษีเงินได้ (EBITDA) จำนวน 396,234 ล้านบาท ลดลงจำนวน 30,30,661 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.2 จากปี 2566 ที่จำนวน 426,895 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ปี 2567 ปตท.และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 90,072 ล้านบาท ลดลง 21,952 ล้านบาท หรือร้อยละ 19.6 จากปี 2566 จำนวน 112,024 ล้านบาท โดยหลักจาก EBITDA ที่ลดลง ประกอบกับค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้น และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลง อีกทั้งในปี 2567 มีการรับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำ (Nonrecurring Items) ยึดตามสัดส่วนของ ปตท. เป็นขาดทุนประมาณ 4,500 ล้านบาท โดยหลักจากการด้อยค่าและประมาณภาระค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตของกลุ่มบริษัท Vencorex และบริษัท พีทีที อาซาฮี เคมิคอล จำกัด (PTTAC) ของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC) ประมาณ 10,500 ล้านบาท
ขณะที่ในปี 2566 มีการรับรู้ Nonrecurring Items ตามสัดส่วนของ ปตท.เป็นกำไรประมาณ 300 ล้านบาท โดยหลักจากการขายสัดส่วนการลงทุนในโครงการเอซี/อาร์แอล 7 (Cash-Maple) ของบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTTTEP)