
เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เปิดเผยหลังประชุมพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 59/2566 กรณีการนำเข้าสินค้าประเภทซากสัตว์ (สุกร) เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต หลังนายกรัฐมนตรีกำชับเร่งแก้ปัญหาดังกล่าว ว่า ดีเอสไอรับดำเนินคดีของกลางซากเนื้อหมูเถื่อน 161 ตู้ ที่ยึดจากท่าเรือแหลมฉบัง ทำให้พบการกระทำผิดบุคคลกลุ่มแรก คือ บริษัท ชิปปิ้งนำเข้า ซึ่งแจ้งข้อหาแล้ว 5 บริษัท จำนวน 6 ราย โดยวันนี้ได้ออกหมายจับเพิ่มเติมอีก 3 บริษัท (จำนวน 3 ราย)
ทั้งนี้ เมื่อขยายผลสอบสวนพบว่ากลุ่มบริษัท ชิปปิ้ง ลักลอบนำเข้ามาก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ปี 2563 – 2566 ในลักษณะคล้ายกัน 2,836 ตู้ จึงได้แยกเป็นคดีพิเศษอีกคดีหนึ่ง พบว่า มีกลุ่มนายทุนเป็นผู้ว่าจ้างให้บริษัทชิปปิ้งนำเข้ามาจำนวนมาก ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน
พ.ต.ต.สุริยา กล่าวว่า กลุ่มที่สองเป็นกลุ่มนายทุนที่สั่งหมูเถื่อนเข้ามา ดีเอสไอออกหมายจับแล้ว 2 ราย ที่หลบหนีไปต่างประเทศ ล่าสุดประสานขอเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ คาดไม่เกินวันที่ 15 พ.ย.นี้ ซึ่งเป็นคนสำคัญที่นำเนื้อหมูเถื่อนไปฝากไว้ห้องเย็น จ.สมุทรสาคร จำนวน 7.5 ตัน เพื่อสอบถามใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง และอีกกลุ่มที่ดูแลห้องเย็นที่กระจายหมูเถื่อนไปแช่ที่ต่างๆ โดยจะมีพยานเข้าให้การเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวน
“ดีเอสไอเป็นหน่วยงานรับเรื่องดำเนินคดีผู้มีอิทธิพลหรือสั่งการนำเข้าเนื้อหมูเถื่อน ตามข้อสั่งการของรัฐบาล ขณะนี้พบข้อมูลว่ามีการเปลี่ยนรูปแบบเป็นลักษณะกองทัพมด พักไว้ประเทศเพื่อนบ้านแล้วส่งเข้ามาในไทย หลังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้มงวดตรวจสอบมากยิ่งขึ้น ส่วนการสกัดกั้นนำเข้าเป็นเรื่องการทำงานของแต่ละหน่วยต้องเฝ้าระวัง บูรณาการตรวจค้นห้องเย็นที่แช่เนื้อหมูเถื่อนลักลอบนำเข้ามาก่อนหน้านี้ เชื่อว่าจะสามารถกวาดล้างได้ และประชาชนที่รู้เห็นสามารถแจ้งเบาะแสได้ อย่างไรก็ตาม ทางคดีพบเบาะแสเชื่อมโยงกับผู้มีอิทธิพลรายใหญ่ โดยมีข้าราชการเกี่ยวข้องอำนวยความสะดวกให้ซึ่งจะมีความคืบหน้าชัดเจนภายในเดือนนี้”อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษกล่าว