
เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2566 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กมีเนื้อหาดังนี้
แม่บ้าน มหาสารคาม รปภ. ร้อยเอ็ด ซื้อที่ดินทองหล่อ 1,000 ล้าน ด้วยเงินกู้จากแสนสิริ
แสนสิริออกแถลงการณ์ตอบโต้ ขอแจงเป็นข้อๆ ดังนี้
1. บ. เอ็น แอนด์ เอ็น มีแม่บ้านจากมหาสารคาม ถือหุ้น 99.998 % ที่เหลือ เป็น รปภ. 2 คน
แม่บ้านเลี้ยงเป็ดไก่ ไม่เคยเสียภาษี และ รปภ. 2 คน ก็เสียภาษีปีละ 500 บาท
ย่อมไม่มีทางซื้อที่ดินใจกลางทองหล่อ และกู้เงินจาก บ.แสนสิริ หรือ บริษัทลูกของแสนสิริได้ 1,000 ล้านบาท
2. ที่ดินทองหล่อที่แสนสิริซื้อมาจาก บ. เอ็น แอนด์ เอ็น อ้างว่าราคาตารางวาละ 1.1 ล้านบาท เหมาะสมกับราคาตลาด ณ ขณะนั้น
แต่ราคา 565 ล้านบาท หรือตารางวาละ 650,000 บาท ในปี 2558 มีระบุในทางบัญชีด้วยทุนจดทะเบียนของ บ.เอ็น แอนด์ เอ็น 100 ล้านบาท ที่ชำระแล้ว และหนี้จากธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ อีก 465 ล้านบาท
เป็นราคาที่บันทึกตามหลักบัญชี หากมีการจ่ายใต้โต๊ะเพิ่มอีก ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่มีใครทราบได้
เพราะแม่บ้าน และ รปภ. คงไม่มีความสามารถในการกระทำแบบนั้น
จึงต้องดูหลักฐานว่า บ.เอ็น แอนด์ เอ็น ชำระไปตามมูลค่าที่บันทึกทางบัญชีเท่าไหร่
ราคาที่อ้างว่าเหมาะสม ไม่มีหลักฐานอื่นว่า จ่ายเงินแพงกว่านี้
แต่เจ้าของ เอ็น แอนด์ เอ็น คนเก่า ซื้อที่มาตั้งแต่ปี 2551 ราคาตลาดขณะนั้นอยู่ที่ 290,000 บาทต่อตารางวา
การพูดของแสนสิริ จึงไม่มีหลักฐานพิสูจน์ใดๆ แต่ผมมีหลักฐานทุกอย่าง
3. เจ้าของ บ.เอ็น แอนด์ เอ็น เดิม ได้ขายบริษัทให้ “นอมินี” อันมี แม่บ้าน และ รปภ. ถือหุ้น เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2558
ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับที่บริษัทลูกของแสนสิริ คือ บ. อาณาวรรธน์ จำกัด ให้ “แม่บ้าน กับ รปภ.” กู้เงิน 1,000 ล้านบาท เอาไปปลอดจำนองที่ดินจาก ธนาคาร แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ และซื้อหุ้นจากเจ้าของ บ.เอ็น แอนด์ เอ็น คนเก่า
เมื่อแสนสิริ ซื้อที่ดินมาในปี 2559 หลังจากตัวเองให้กู้เงิน 1,000 ล้านบาทไป
จึงเป็น “พฤติการณ์ซ่อนเร้น” ของแสนสิริ
ที่ต้องรู้ว่าการให้กู้ถึง 1,000 ล้านบาท ในขณะที่มี “แม่บ้าน กับ รปภ.” เป็นเจ้าของ บริษัทแบบ 100% เป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผล
4. บ. อาณาวรรธน์ “ให้กู้เงิน 1,000 ล้านบาท” และทำสัญญาจำนองที่ดินไว้อย่างชัดเจน
แต่ครอบไว้ด้วย “สัญญาจะซื้อจะขาย” เป็นเงื่อนไขแนบท้าย อันเป็นเรื่องผิดวิสัย หากจะซื้อก็ซื้อได้ แต่ทำไมต้องให้จำนองเอาไว้ด้วย
โดยมีรายงานการประชุมของทั้ง 2 บริษัท ที่ขอจำนอง (บริษัทนอมินี) และผู้ให้จำนอง (บ. อาณาวรรธน์ บริษัทลูกของแสนสิริ) ที่กรมที่ดินเป็นหลักฐาน
สรุปได้ว่า บริษัทนอมินีที่มี แม่บ้าน กับ รปภ. เป็นเจ้าของ ได้เงินส่วนต่างไป 435 ล้านบาท
และต่อมาทิ้งให้บริษัทนี้ร้าง โดยไม่ส่งงบการเงินติดต่อกัน 5 ปี
หลักฐานทั้งหมดได้ส่งให้คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) พิจารณาการกระทำของแสนสิริในการใช้เงินของผู้ถือหุ้น
โดยในขณะนั้น บ.แสนสิริ และ บ.อาณาวรรธน์ มีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นกรรมการ และอยู่ในที่ประชุมคณะกรรมการอนุมัติทั้งให้กู้ และซื้อที่ดิน
แสนสิริชี้แจงแบบผ่านๆ โดยไม่เอ่ยถึงผู้ถือหุ้น บ.เอ็น แอนด์ เอ็น ที่เป็น แม่บ้าน กับ รปภ. ที่ “ทำธุรกรรม 3 อย่างในวันเดียวกัน” คือ
1. เข้าซื้อ บ.เอ็น แอนด์ เอ็น 100 ล้านบาท
2. ไถ่ถอนจำนองที่ดินจาก LH Bank 465 ล้านบาท
3. บริษัทลูกของแสนสิริให้กู้ 1,000 ล้านบาท
ยังเหลือเงินที่ไม่ได้ใช้อีก 435 ล้านบาท
ทั้ง 3 ขั้นตอน เกิดขึ้นภายในวันเดียวกัน คือ 11 กุมภาพันธ์ 2558
หลังจากนั้นปี 2559 แสนสิริก็มาซื้อที่ดินจาก แม่บ้าน และ รปภ. ในราคา 957 ล้านบาท
คำถามง่ายๆ บ.เอ็น แอนด์ เอ็น ที่มี “แม่บ้าน และ รปภ.” ถือหุ้นใหญ่ จะสามารถมีเงินไปซื้อที่ดินทองหล่อได้หรือไม่?
เงินทอนตกหล่นไปอยู่ที่ใคร?
วานบอกที
