จนท.หลายหน่วยงานบุกตรวจสอบวัด”ครูบาไก่”ถูกร้องบุกรุกเขตป่าไม้

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ที่พักสงฆ์วัดป่าปฐมเทวาราม หรือวัดครูบาไก่ บ้านป่าผุ ต.สวนหม่อน อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น พล.ต.ต.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ ผบก.ปทส.(ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)  พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง,สภ.มัญจาคีรี เจ้าหน้าที่ที่ดินจังหวัด, เจ้าหน้าที่สปก., เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ,เจ้าหน้าที่สํานักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 8 ขอนแก่น, เจ้าหน้าที่ อบต.สวนหม่อน ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ภายหลังจากทาง น.ส.วาสนา เคลือบสูงเนิน หรือ อิคคิว อายุ 33 ปี อดีตโยมอุปัฏากครูบาไก่ เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน กองกำกับการ 3 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2566 ให้ดำเนินคดีกับพระสุวิทย์ทชินวโร หรือ ครูบาไก่ ในความผิดฐาน บุกรุก แผ้วถาง ยึดถือครอบครองป่าสงวนแห่งชาติ และความผิดอื่นๆที่ตรวจสอบพบ

ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่สังกัดสำนักจัดการที่ดินป่าไม้ สำนักงานป่าไม้เขต7 ได้นำเครื่องจีพีเอสระบบ 2 ความถี่ ชี้ตำแหน่งของขอบเขตป่า คลาดเคลื่อนไม่เกิน 10 เซ็นติเมตร โดยรับสัญญาณดาวเทียมเกี่ยงกับภูมิศาสตร์ 39 ดวง ทำให้ค่าความแม่นยำสูงมาก พร้อมเข้าตรวจสอบในเรื่องของเต่า จระเข้ และช้างภายในวัดครูบาไก่ด้วยว่าครอบครองอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่

พล.ต.ต.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ ผบก.บก.ปทส. กล่าวว่า ได้มีผู้มาร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน ให้มาตรวจสอบสำนักสงฆ์ว่าบุกรุกพื้นที่ที่ดินของรัฐอันใดบ้าง โดยเมื่อวันที่ 30 มกราคมทางบก.ปทส.ได้มีการส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่มาตรวจสอบแล้วส่วนหนึ่ง พร้อมทั้งประสานกับทางผู้ว่าราชการจังหวัดแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ เมื่อเป็นสำนวนการสอบสวนแล้ว ทางพนักงานสอบสวนก็จะต้องลงพื้นที่มาเก็บรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อเอาหลักฐานต่างๆเข้าสำนวนการสอบสวน ว่าพื้นที่สำนักสงฆ์ป่าแห่งนี้ เป็นพื้นที่ของรัฐประเภทใดบ้าง

“จากการตรวจสอบเบื้องต้น มีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องชี้แจง ก็ทราบว่าพื้นที่ของวัดนั้น แบ่งออกเป็น 3 ส่วนส่วนแรกคือโฉนดที่ดิน และ นส.2 ส่วนที่สองคือพื้นที่ สปก. และส่วนที่สาม คือป่าสงวนแห่งชาติป่าโคกหลวง โดยพบโฉนดที่ดินแปลง 19 ไร่ แปลง 10 ไร่ และ โฉนด นส.2อีกจำนวน 10 ไร่ มีพื้นที่ประมาณ 31 ไร่ที่เป็นเอกสารสิทธิ์ นอกนั้นจากการตรวจสอบพื้นที่โดยรวมให้ผู้ถูกกล่าวหามานำชี้ ที่เกิดเหตุว่ามีอาณาเขตเท่าไหร่แต่เป็นการนำชี้ของเจ้าหน้าที่ของวัด ซึ่งดูแลวัดอยู่โดยรอบ คำนวณได้ประมาณ 71 ไร่เศษ ซึ่งแบ่งเป็นพื้นที่เอกสารสิทธิ์ 31 ไร่ ศปก.ประมาณ 32 ไร่ และเขตที่เหลือคือเป็นป่าสงวน ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้ยืนยันรายละเอียดพื้นที่ที่ชัดเจนอยู่ในระหว่างการตรวจสอบทั้งหมด”พล.ต.ต.วัชรินทร์ กล่าว

ผบก.บก.ปทส. กล่าวต่ออีกว่า ภายหลังจากทางเจ้าหน้าที่รวบรวมหลักฐานต่างๆเกี่ยวกับสำนวนการสอบสวนคดีดังกล่าวเสร็จ ก็จะมีการสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดูว่าพื้นที่ของรัฐมีความผิดประเภทใดหรือไม่ ถ้าเป็นป่าสงวนก็ต้องดูว่าพื้นที่ป่าสงวนในพื้นที่ที่บุกรุกบุกรุกด้วยอะไรมีสิ่งปลูกสร้างอยู่บ้าง ถ้าเป็นเขต สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หรือสปก. มีการยื่นขอใช้พื้นที่ถูกต้องหรือไม่ต้องดูหลักฐานให้ครบถ้วนเพื่อความเป็นธรรมของทุกฝ่ายด้วย โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลาการดำเนินงานประมาณ 1 เดือนคาดว่าจะสรุปสำนวนส่งให้อัยการได้ และวันนี้จะมีการระดมพนักงานสอบสวนกว่า 10 นาย ทำงานอยู่ที่สำนักสงฆ์ป่าแห่งนี้ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงมากที่สุด และรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆสรุปสำนวนความเห็นได้อย่างถูกต้อง

“ส่วนโทษของผู้กระทำผิดโทษบุกรุกป่าสงวน มีโทษสูงสุดคือ ถ้าบุกรุกเกิน 25 ไร่ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 4 ปี ถึง 20 ปี ปรับตั้งแต่ 200,000 ถึง 2,000,000 บาท ตามพ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ ปี พ.ศ.2562 ฉบับใหม่ ซึ่งจะมีอัตราโทษสูงมาก เนื่องจากมีอัตราโทษสูงจึงต้องดูที่เจตนาต้องพิสูจน์ความผิดให้ได้ว่ามีความผิดที่ชัดเจน และนอกจากตรวจสอบพื้นที่แล้ว ยังได้เชิญทางเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ เจ้าหน้าที่ประมง มาร่วมตรวจสอบในเรื่องของช้างพังบัวนาและพลายทองหล่อ รวมทั้งเต่า และจระเข้ ที่เลี้ยงอยู่ภายในสำนักสงฆ์ป่าฯ ซึ่งจะทำการตรวจสอบดูว่าสัตว์ทั้ง 3 ชนิดนี้มีหลักฐานแจ้งการครอบครองถูกต้องหรือไม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ต่างๆจะได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของตนเองเพื่อดำเนินการตามระเบียบกฎหมายต่อไป”ผบก.บก.ปทส.กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า จากการลงพื้นที่ตรวจสอบของหน่วยงานต่างๆ ยังไม่สามารถสรุปได้ว่ามีการบุกรุกหรือกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ในส่วนใดบ้าง จะต้องรอทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องประชุมสรุปกันอีกครั้ง และทางเจ้าหน้าที่ก็จะปักหลักตรวจสอบต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ข้อมูลข้อเท็จจริงซึ่งจะเป็นพยานหลักฐานสำคัญในการสรุปส่งสำนวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ข่าว/ภาพ : จักรพันธ์ นาทันริ ผู้สื่อข่าวจังหวัดขอนแก่น

Message us