
เมื่อวันที่ 17 มี.ค. นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานตามนโยบายผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในการจัดระเบียบพื้นที่ทำการค้าปรับปรุงภูมิทัศน์ทางเท้าและรื้อถอนสิ่งกีดขวาง บริเวณหน้าตลาดคลองเตย 1 เขตคลองเตย โดยมี นายศุภกฤต บุญขันธ์ รองปลัดกรุงเทพมหานคร นายอนุชิต พิพิธกุล ผู้อำนวยการสำนักเทศกิจ น.ส.เกศจริน สามิภักดิ์ ผู้อำนวยการเขตคลองเตย พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่สำนักเทศกิจ สำนักการโยธา สำนักการระบายน้ำ สำนักงานเขตคลองเตย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมลงพื้นที่และให้ข้อมูล

นายจักกพันธุ์ กล่าวว่า เช้าวันนี้ได้ลงพื้นที่ติดตามการรื้อถอนสิ่งกีดขวาง บริเวณหน้าตลาดคลองเตย 1 และพื้นที่โดยรอบ หลังจากที่เขตฯ ประกาศยกเลิกพื้นที่ทำการค้าบริเวณดังกล่าว เพื่อดำเนินการปรับปรุงภูมิทัศน์ทางเท้าถนนรัชดาภิเษกต่อเนื่องถนนพระรามที่ 4 จนถึงถนนสุนทรโกษา ตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป ทั้งนี้บริเวณหน้าตลาดคลองเตย 1 ตั้งแต่ศาลเจ้ามังกรเขียวถึงถนนพระรามที่ 4 ตัดถนนรัชดาภิเษก มีผู้ค้า 35 ราย ช่วงเวลาทำการค้า 05.00-24.00 น. จำหน่ายอาหารปรุงสำเร็จพร้อมรับประทาน เช่น เกาเหลาเลือดหมู ก๋วยจั๊บ ข้าวหมูแดง ขนมหวาน ผักสด ผลไม้ ซึ่งร้านที่จำหน่ายอาหารปรุงสำเร็จ มีการตั้งวางร้านค้ารุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ทางเท้า มีการล้างวัตถุดิบที่ใช้ในการประกอบอาหาร ล้างภาชนะถ้วยชาม แก้วน้ำ และเทน้ำทิ้งลงในท่อระบายน้ำ ส่งผลให้เกิดปัญหาไขมันอุดตันในท่อระบายน้ำ บางร้านมีน้ำขังไหลเจิ่งนองออกมาบนพื้นที่ทางเท้า ก่อให้เกิดความสกปรกจากคราบน้ำมันและเศษอาหาร เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค และสัตว์พาหะนำโรค เช่น หนู แมลงสาบ ซึ่งไม่ถูกสุขลักษณะตามหลักสุขาภิบาล อีกทั้งก่อให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์แก่ประชาชนผู้ที่ใช้ทางเท้าในการสัญจร

ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครมีโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ทางเท้า ตั้งแต่หน้าตลาดคลองเตย 1 ถนนรัชดาภิเษก เลี้ยวซ้ายสี่แยกพระรามที่ 4 ถนนพระรามที่ 4 เลี้ยวซ้ายสี่แยกคลองเตย ถนนสุนทรโกษา เลี้ยวซ้ายห้าแยก ณ ระนอง วนกลับมาถนนรัชดาภิเษก ซึ่งจะมีลักษณะเป็นวงกลมเชื่อมต่อกัน เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ในทางสาธารณะร่วมกัน อีกทั้งเพื่อให้การปรับปรุงภูมิทัศน์ทางเท้าต่อเนื่องกับตลาดลาว ถนนพระรามที่ 4 และหน้าตลาดคลองเตย 2 ถนนรัชดาภิเษก ที่ดำเนินการปรับปรุงภูมิทัศน์ทางเท้าแล้วเสร็จ เมื่อเดือนธันวาคม 2567 และเดือนมกราคม 2568 โดยเขตฯ ได้ประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจกับผู้ค้า เพื่อให้เห็นถึงความสำคัญของส่วนรวมในการปรับปรุงภูมิทัศน์ทางเท้า และความจำเป็นในการจัดระเบียบพื้นที่ทำการค้า โดยให้ผู้ค้าย้ายเข้าไปทำการค้าในตลาดคลองเตย 1 ตลาดคลองเตย 2 และตลาดใกล้เคียง ซึ่งผู้ค้าจะต้องเก็บอุปกรณ์ทำการค้าและเคลื่อนย้ายทรัพย์สินทั้งหมดออกจากตลาดให้แล้วเสร็จ ภายในวันที่ 16 มีนาคม 2568

รองผู้ว่าฯ จักกพันธุ์ กล่าวว่า ในวันนี้หน่วยงานที่ได้รับมอบหมาย ประกอบด้วย สำนักงานเขตคลองเตย และสำนักการโยธา สำนักการระบายน้ำ สำนักเทศกิจ และสถานีตำรวจนครบาลท้องที่ เข้าพื้นที่ดำเนินการรื้อถอนสิ่งกีดขวางบริเวณหน้าตลาดคลองเตย 1 และพื้นที่โดยรอบ ตัดเสาโครงสร้างซุ้มการเวก ทุบแท่นคอนกรีตกระถางต้นไม้ ย้ายป้อมนายท่าปล่อยรถประทำทางสาย 205 รื้อรั้วราวเหล็กริมถนนรัชดาภิเษก ย้ายจุดติดตั้งป้ายชำระภาษีริมถนนพระรามที่ 4 สำรวจพื้นทางเท้าที่ชำรุดเสียหาย และจุดที่ทุบฐานคอนกรีตสิ่งกีดขวางออกไป สำรวจฝาบ่อพักน้ำที่ชำรุดเสียหาย ซึ่งเขตฯ ได้นำแผ่นไม้มาปิดกั้นไว้ชั่วคราว ตรวจสอบท่อระบายน้ำที่อุดตัน รวมถึงคราบไขมันจากร้านค้า

นอกจากนั้น ได้ให้เขตฯ กำชับผู้ค้าที่ทำการค้าในตลาดคลองเตย 1 ไม่ให้ตั้งวางสิ่งของรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ทางเท้า หรือเกินแนวเส้นที่เขตฯ ร่วมกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย ได้สำรวจและขีดเส้นสีแดงแบ่งแนวเขตไว้ จัดเก็บสิ่งของที่ตั้งวางตรงจุดติดตั้งประปาหัวแดงออกจากพื้นที่ให้เรียบร้อย พร้อมทั้งประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมกับเจ้าหน้าที่เทศกิจ อำนวยความสะดวกด้านการจราจร ในระหว่างการรื้อถอนสิ่งกีดขวาง จัดเก็บขยะและเศษวัสดุขึ้นรถบรรทุก ซึ่งในวันพรุ่งนี้ เขตฯ จะดำเนินการฉีดล้างทำสะอาดพื้นทางเท้าบริเวณหน้าตลาดคลองเตย 1 และพื้นที่โดยรอบ ในวันต่อมาสำนักการโยธา จะดำเนินการซ่อมแซมพื้นทางเท้าในจุดที่ชำรุดเสียหายชั่วคราว สำนักการระบายน้ำ สำรวจบ่อพักน้ำและแนวท่อระบายน้ำ เพื่อพิจารณาจัดทำแผนปรับปรุงเปลี่ยนท่อระบายน้ำใหม่ เชื่อมต่อบ่อพักน้ำเดิมกับท่อระบายน้ำใหม่

อย่างไรก็ตาม จะเริ่มดำเนินการขุดวางท่อระบายน้ำในเดือนเมษายน 2568 เพื่อให้การทำงานแล้วเสร็จก่อนการปรับปรุงทางเท้า ซึ่งในเดือนมิถุนายน 2568 สำนักการโยธาจะเข้าพื้นที่ดำเนินการปรับปรุงภูมิทัศน์ทางเท้าถนนรัชดาภิเษกต่อเนื่องถนนพระรามที่ 4 จนถึงถนนสุนทรโกษา ระยะเวลาดำเนินการ 120 วัน เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยในพื้นที่ ประชาชนสามารถใช้ทางเท้าในการเดินทางสัญจรได้อย่างสะดวกและปลอดภัยต่อไป


