
เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. ที่พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ หอรัษฎากรพิพัฒน์ ในพระบรมมหาราชวัง นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นำคณะผู้บริหารระดับสูงขององค์การสหประชาชาติประจำประเทศไทย (United Nations Thailand) อาทิ นางอาร์มิดา ซัลเซียะฮ์ อาลิสจะฮ์บานา (Ms. Armida Salsiah Alisjahbana) เลขาธิการบริหารคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (UN ESCAP) นางกีต้า ซับบระวาล (Ms. Gita Sabharwal) ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย Ms. Banashri Sinha ผู้เชี่ยวชาญประจำด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (UNFCCC) Mr. David Mclachlan-Karr ผู้อำนวยการสำนักงานประสานงานเพื่อการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDCO) ประจำภูมิภาค Ms. Siriluck Chiengwong หัวหน้าสำนักงานกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) Ms. Kyungsun Kim ผู้แทนกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) เป็นต้น เข้าชมนิทรรศการ “สิริราชพัสตราบรมราชินีนาถ” เฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 โดยมี นางปิยวรา ทีขะระ เนตรน้อย ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ให้การต้อนรับและนำชม


นายสุทธิพงษ์ เปิดเผยว่า นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา สนองพระมหากรุณาธิคุณด้วยทรงมีพระปณิธานอันแน่วแน่ในการแบ่งเบาพระราชภาระในการสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชกรณีกิจในด้านการส่งเสริมงานหัตถศิลป์หัตถกรรมของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยการปฏิบัติภารกิจงานด้านศิลปาชีพและดูแลการดำเนินงานของพิพิธภัณฑ์ผ้า ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นต้นมา ซึ่งได้ทรงนำความรู้ด้านผ้าและเครื่องแต่งกาย ตลอดจนประสบการณ์การทำงานในอุตสาหกรรมแฟชั่นมาพัฒนาการดำเนินงานของพิพิธภัณฑ์ผ้า ฯ รวมถึงการจัดทำนิทรรศการ “สิริราชพัสตราบรมราชินีนาถ” (Decades of Style: The Royal Wardrobe of Her Majesty Queen Sirikit) ซึ่งเป็นนิทรรศการแรกในฐานะที่ทรงเป็นองค์ประธานที่ปรึกษาและหัวหน้าภัณฑารักษ์ โดยทรงเอาพระทัยใส่รายละเอียดในทุกขั้นตอนการดำเนินงาน ด้วยทรงพระดำริที่จะจัดนิทรรศการนี้ให้ออกมางดงามสมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงมากที่สุด

“สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงนำความรู้ด้านผ้าไทยและเครื่องแต่งกายจากฝีมือคนไทยที่ทรงมีความสนพระทัยตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์และทรงซึมซับจากการตามเสด็จฯ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ปฏิบัติพระราชกรณียกิจในภูมิภาคต่าง ๆ กระทั่งทรงเข้าศึกษาในคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศึกษาต่อด้านแฟชั่นในต่างประเทศ โดยเมื่อทรงสำเร็จการศึกษา ก็ได้ทรงนำองค์ความรู้จากการศึกษา ค้นคว้า วิจัย และทดลอง ตลอดจนประสบการณ์การทำงานในอุตสาหกรรมแฟชั่นมาส่งเสริมถ่ายทอดให้กับประชาชนคนไทยในถิ่นทุรกันดาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่างทอผ้าและผู้ประกอบการผ้าที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ทรงพระราชทานพระราชดำริ “ขาดทุนคือกำไร” ทำให้เกิดการฟื้นคืนชีวิตช่างทอผ้าเมื่อ 50 ปีก่อนเกิดเป็นศูนย์ศิลปาชีพแห่งแรกที่บ้านนาหว้า อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม”

ทั้งนี้ นับเป็นความโชคดีของคนไทยที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงมาต่อยอดพระราชกรณียกิจทั้งปวง โดยพระราชทานพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” เพื่อพัฒนาศักยภาพและแนวความคิดตลอดจนกรรมวิถีผลิตผืนผ้าของช่างทอผ้าทั่วประเทศไทยที่แต่เดิมมักจะคุ้นชินกับการถักทอผ้าตามลวดลายแบบดั้งเดิมของบรรพบุรุษที่ถ่ายทอดตกทอดมา ให้ได้มีการปรับเปลี่ยนขนาด ลวดลาย และเทคนิคต่าง ๆ รวมทั้งทรงส่งเสริมในด้านแฟชั่นแห่งความยั่งยืน (Sustainable Fashion) ด้วยการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ส่งเสริมการพึ่งพาตนเอง ให้ประชาชนได้ปลูกพืชพันธุ์ต้นไม้ให้สี เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อม

ด้าน ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย กล่าวว่า นิทรรศการ “สิริราชพัสตราบรมราชินีนาถ” (Decades of Style: The Royal Wardrobe of Her Majesty Queen Sirikit) จัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 โดยเป็นการจัดแสดงบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจผ่านฉลองพระองค์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงในช่วงเวลาต่าง ๆ ตามยุคสมัย ทำให้ได้เห็นถึงความงดงามของฉลองพระองค์ที่ล้วนออกแบบและตัดเย็บด้วยผ้าจากฝีมือของคนไทยเป็นส่วนใหญ่ เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้นำการเผยแพร่ความงดงามของผ้าไทยให้เป็นที่ประจักษ์ด้วยพระองค์เองผ่านการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้นำผลงานช่างฝีมือของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ฯ ไปจัดแสดงทุกครั้งที่เสด็จ ฯ เพื่อส่งเสริมให้ผ้าทอและงานศิลปหัตถกรรมไทยเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

อย่างไรก็ตาม สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงพระดำริและทรงทุ่มเทพระวรกายอย่างหนักในการรังสรรค์นิทรรศการนี้ให้ออกมาอย่างสมบูรณ์แบบและสมพระเกียรติ เพื่อสะท้อนถึงพระราชกรณียกิจอันใหญ่หลวงของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงมีพระวิริยอุตสาหะด้วยการทรงอุทิศพระองค์ในการส่งเสริมงานหัตถกรรมการทอผ้าพื้นเมืองเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทยในทุกภูมิภาค ด้วยทรงเล็งเห็นว่าภูมิปัญญาเหล่านี้เป็นงานหัตถศิลป์หัตถกรรมที่ทรงคุณค่าของประเทศชาติที่ควรค่าแห่งการอนุรักษ์และสงวนรักษาไว้ให้อนุชนคนรุ่นหลังได้เรียนรู้และสืบสานให้คงอยู่คู่กับประเทศไทยตลอดไป โดยนำเสนอผ่านฉลองพระองค์ต่าง ๆ ตามยุคสมัย ซึ่งเป็นฉลองพระองค์ที่มีเอกลักษณ์ของผ้าทอท้องถิ่นไทย อาทิ การเสด็จ ฯ เยือนต่างประเทศ ในปี พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) ทรงเยือนทวีปอเมริกาและทวีปยุโรป เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศ และทำให้ชาวต่างชาติรู้จักประเทศไทยมากขึ้นผ่านฉลองพระองค์ที่งดงามเหมาะสมกับโอกาสต่าง ๆ

นอกจากนั้น ทรงพระราชทานพระดำริให้ช่างตัดเย็บได้ตัดเย็บในรูปแบบสากลเพื่อให้เกียรติประเทศเจ้าภาพที่เสด็จ ฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นฉลองพระองค์ที่ทรงในเวลากลางวันและใช้ผ้าโทนสีสุภาพ ต่อมาในปี 2513 (ค.ศ. 1970) พระองค์เสด็จไปทรงเยี่ยมราษฎรในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยทรงสังเกตว่าหญิงชาวบ้านที่มารอเฝ้ารับเสด็จล้วนแต่งกายด้วยผ้าซิ่นผ้าทอพื้นเมืองสีสันสวยงาม จึงมีพระราชดำริว่าควรจะส่งเสริมให้ราษฎรทอผ้าไหมมัดหมี่ไว้เป็นอาชีพเสริมและได้มีพระราชเสาวนีย์ให้ชาวบ้านเริ่มทอผ้าส่งไปถวายโดยตรง ทรงรับซื้อไว้เองก่อน นำมาซึ่งพระราชดำริ “ขาดทุนคือกำไร” และในปี พ.ศ.2519 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อตั้งมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ เพื่อช่วยราษฎรในถิ่นทุรกันดารจากทุกภูมิภาคของไทยให้มีรายได้เสริมจากผ้าทอ รวมทั้งหัตถกรรมประเภทอื่น ๆ อีกด้วย และยังมีนิทรรศการในช่วงปี 1980 1990 และ 2000 สะท้อนถึงพระราชดำริด้านการส่งเสริมหัตถศิลป์หัตถกรรมตามยุคสมัยอันล้าค่าอีกเป็นจำนวนมาก โดยนิทรรศการที่ถือเป็นไฮไลต์ของการจัดแสดง คือ “สุวรรณพัสตรา” ที่สะท้อน “สีทอง” สีแห่งพลังอำนาจและความสำคัญตามความนิยมที่มีมาแต่โบราณ ซึ่งได้จัดแสดงฉลองพระองค์ชุดไทยส่วนใหญ่ ที่จะเป็นสีทองและประดับด้วยวัสดุสีทอง และยังทรงนำผ้ายกทองจากลำพูนมาใช้ตัดเย็บฉลองพระองค์ชุดไทยในช่วงแรก และต่อมาทรงมีพระราชดำริให้ฟื้นฟูการทอผ้ายกทองจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเคยเป็นแหล่งผลิตผ้ายกทองให้ราชสำนักมาตั้งแต่โบราณ จนพัฒนาฝีมือสามารถทอผ้ายกทองเมืองนครได้อย่างงดงาม

ดร.วันดี กล่าวด้วยว่า ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ตลอดจนสถาบันการศึกษา และหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมเข้าใจชมนิทรรศการ “สิริราชพัสตราบรมราชินีนาถ” ซึ่งเปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-16.30 น. ณ ห้องจัดแสดง 1-2 พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบรมมหาราชวัง ถึงเดือนเมษายน 2568

ขณะที่ นางกีต้า ซับบระวาล (Ms. Gita Sabharwal) ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย กล่าวว่า องค์ความรู้ด้านแฟชั่นที่ประยุกต์เข้ากับความงดงามของผืนผ้าฉลองพระองค์ที่เห็นได้ประจักษ์ชัดผ่านนิทรรศการอันทรงคุณค่านี้ แสดงให้คนไทยทั่วทั้งประเทศ และคนทั่วทั้งโลกได้รับรู้ได้โดยทันทีว่า ภูมิปัญญาอันล้ำค่าที่มีมาแต่ก่อนเก่าของบรรพบุรุษไทย โดยเฉพาะในงานหัตถศิลป์หัตถกรรม สามารถสร้างรายได้นำมาซึ่งการมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (UN SDGs) อาทิ เป้าหมายที่ 1 : ขจัดความยากจนทกุรูปแบบในทุกพื้นที่ เป้าหมายที่ 3 : สร้างหลักประกันว่าคนมีชีวิตที่มีสุขภาพดีและส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับทุกคนในทุกวัย เป้าหมายที่ 8 : ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง ครอบคลุม และยั่งยืน เป้าหมายที่ 12 : สร้างหลักประกันให้มีรูปแบบการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน

เป้าหมายที่ 13 : ปฏิบัติการอย่างเร่งด่วนเพื่อต่อสู้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบที่เกิดขึ้น และเป้าหมายที่ 17 : เสริมความเข้มแข็งให้แก่กลไกการดำเนินงานและฟื้นฟูหุ้นส่วนความร่วมมือระดับโลกเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นต้น โดยองค์การสหประชาชาติประจำประเทศไทยมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะร่วมกับกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด และข้าราชการทุกระดับทั่วทั้ง 76 จังหวัดที่ทำงานด้วยความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ตามพันธกิจ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ตลอดมา เพื่อต่อยอดและนำองค์ความรู้เหล่านี้เสริมสร้างอาชีพและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนคนไทยตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป
