100 ปี เขื่อนพระรามหก เขื่อนทดน้ำแห่งแรกของไทย

 ย้อนไปก่อนหน้าการเกิดเขื่อนทดน้ำแห่งแรก ระบบชลประทานของไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 เน้นการพึ่งพาน้ำจากคลอง ผ่านการขุดคลองในพื้นที่ที่เหมาะสม เพื่อการคมนาคมและการเพาะปลูก

ทว่าข้อจำกัดของการพึ่งพาน้ำในคลอง คือ ต้องอาศัยน้ำฝน ที่คาดเดาไม่ได้ และธรรมชาติของน้ำคลองจะไหลไปเรื่อย ๆ ลงสู่แม่น้ำ และออกทะเล

จึงเกิดการริเริ่มพัฒนา “ระบบการทดน้ำ” ที่จะสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำเพื่อทดน้ำให้สูงขึ้นแล้วระบายสู่คลองส่งน้ำไปสู่พื้นที่เกษตรกรรมในช่วงปลายรัชกาลที่ 5 ก่อนเป็นรูปธรรมในแผนงานสร้างเขื่อนสมัยใหม่ ช่วงรัชกาลที่ 6

จุดหักเหสำคัญ คือ ในปี พ.ศ. 2454-2456 ไทยประสบปัญหาฝนแล้ง 3 ปีติดต่อกัน และไม่มีแหล่งกักเก็บน้ำได้ ทำให้การทำนาข้าว การเกษตร ชะงักลง จึงต้องเร่งหาทางแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำอย่างเร่งด่วน

จึงเกิดโครงการก่อสร้าง เขื่อนทดน้ำแห่งแรก โดยมี เซอร์ ธอมมัส วอร์ด ( Sir Thomas Ward ) วิศวกรด้านวิศวกรรมชลประทาน การจัดการน้ำ เข้ามาเป็นเจ้ากรมทดน้ำ (ปัจจุบันเป็น กรมชลประทาน) ได้ศึกษาและเสนอว่าการสร้างเขื่อนทดน้ำกั้นแม่น้ำป่าสักมีความเหมาะสมที่จะสร้างขึ้นเป็นโครงการแรก และต่อมา นายอาร์ ซี อาร์ วิลสัน ( R. C. R. Wilson ) เจ้ากรมทดน้ำ คนต่อมา เป็นผู้รับช่วงสานงานต่อ

ความโชคดี คือ ยุคนี้เริ่มมีวิทยาการสมัยใหม่เข้ามาช่วยศึกษาความเหมาะสมและการก่อสร้างโครงการ อาทิ การเก็บข้อมูลเชิงสถิติต่างๆ มีเครื่องมือวัดปริมาณน้ำฝน และมีการนำเข้าเครื่องจักรขนาดใหญ่จากต่างประเทศ เข้ามาสร้างเขื่อนเพื่อช่วยทุ่นแรงคน

ทำให้ท้ายสุด “เขื่อนพระรามหก”  เขื่อนทดน้ำแห่งแรก ถือกำเนิดขึ้นโดยได้ปักหมุดหมายการสร้างเขื่อนทดน้ำปิดกั้นแม่น้ำป่าสัก ไว้ที่ ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

แม้แผนการพัฒนาเขื่อนทดน้ำมีการศึกษา ตั้งแต่ สมัยรัชกาลที่ 5 แต่ได้เริ่มก่อสร้างช่วงรัชกาลที่ 6 ในปี 2458 ใช้เวลานานถึง 9 ปี จากผลกระทบของสงครามโลกครั้งที่ 1 จึงแล้วเสร็จในปี 2467 และได้วันปฐมฤกษ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดเขื่อน และประตูระบายน้ำ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2467

นับแต่นั้นมา เขื่อนพระราม 6 ทำหน้าที่ บริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำป่าสัก ด้วยการชะลอน้ำ ช่วงน้ำหลาก บรรเทาปัญหาน้ำท่วมพื้นที่เกษตรและบ้านเรือนราษฎรริมแม่น้ำป่าสัก  ตลอดจนทดน้ำส่งเข้าคลองส่งน้ำสู่พื้นที่เกษตรกรรม  ช่วยให้เกษตรกรมีน้ำใช้ ไม่ต้องพึ่งพาช่วงฝนตกอย่างเดียว ทำให้ผลผลิตในหลายจังหวัดดีขึ้น สร้างความมั่นคงด้านอาหารให้แก่ประเทศ  และยังเป็นต้นแบบในการสร้างเขื่อนทดน้ำขนาดใหญ่ อย่าง เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท และเขื่อนในภูมิภาคต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาด้านขาดแคลนน้ำในเวลาต่อมา

ปัจจุบัน “เขื่อนพระรามหก” สามารถทดน้ำเหนือเขื่อนได้ +7.80 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง (รทก.) และระบายน้ำลงสู่ท้ายเขื่อนได้สูงสุด 1,800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที สามารถส่งน้ำให้กับพื้นที่เพาะปลูกในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกตอนล่าง 1.5 ล้านไร่ โดยการระบายน้ำเข้าคลองส่งน้ำระพีพัฒน์สายใหญ่ความยาว 32 กิโลเมตร ที่ประตูระบายน้ำพระนารายณ์

ส่งน้ำให้กับพื้นที่โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาป่าสักใต้ โครงการฯนครหลวง  โครงการฯรังสิตเหนือ  โครงการฯรังสิตใต้  โครงการฯชลหารพิจิตร และคลองพระองค์จ้าไชยานุชิต ตลอดจนส่วนที่อยู่ในจังหวัดสระบุรี  พระนครศรีอยุธยา  ปทุมธานี  กรุงเทพฯ  สมุทรปราการ  และฉะเชิงเทรา

การก้าวเข้าสู่ปีที่ 100 ของเขื่อนพระรามหก จึงนับเป็นรากฐานความมั่นคงของการบริหารจัดการน้ำอย่างสมัยใหม่ ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยจวบจนปัจจุบัน

Message us