ไฟไหม้โบสถ์วัดศรีรัตนารามประดิษฐานหลวงพ่อหน้าทองพระพุทธรูปเก่าแก่อายุเกือบ 250 ปี

เมื่อเย็นวันที่ 16 กันยายน เกิดเหตุภายในอุโบสถวัดศรีรัตนาราม (จูงนาง) ม.5 ต.ท่าทอง อ.เมือง จ.พิษณุโลก รถดับเพลิงจากเทศบาลตำบลท่าทอง ได้เร่งฉีดน้ำสกัด พร้อมเปิดประตูด้านหลัง และหน้าต่างใช้พัดลมระบายกลุ่มควันออก ตรวจสอบด้านในพบว่าบริเวณโต๊ะหมู่บูชาด้านหน้าองค์พระประธาน พร้อมด้วยพรม และแท่นรองโต๊ะหมู่บูชา อาสนะสงฆ์ ไฟไหม้ได้รับความเสียหาย

นายศตรายุ กล้าหาญ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 5 ต.ท่าทอง บอกว่า ขณะไฟไหม้เป็นช่วงมีพิธีฌาปนกิจศพอยู่ ชาวบ้านเห็นมีควันสีดำออกมาจากภายในอุโบสถจึงรีบวิ่งมาดูก็พบว่ควันมีจำนวนมากแต่เปิดประตูไม่ได้ จึงประสานคณะกรรมการวัดมาเปิด และเรียกรถดับเพลิง พร้อมแจ้งกู้ภัยเข้าทำการตรวจสอบ

ด้านนายบุญเกิด บัวคำ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 5 ต.ท่าทอง บอกว่าโบสถ์แห่งนี้สร้างแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ.2516 ด้านในประดิษฐานหลวงพ่อหน้าทอง ที่ย้ายมาจากวัดหน้าทองวัดเก่า ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อเป็นวัดศรีรัตนาราม(วัดจูงนาง) ในปัจจุบัน คาดสาเหตุน่าจะเกิดจากเทียนพรรษาที่จุดไว้ด้านใน

พระครูสังฆรักษ์ บุญเลี่ยม โกวิโท รองเจ้าอาวาสวัดศรีรัตนาราม(จูงนาง) บอกว่า ปกติเวลา 16.30 น.พระภิกษุสงฆ์จะต้องมาทำวัดเย็นกันทุกวัน แต่วันนี้ติดงานฌาปนกิจศพ คาดว่าเมื่อวานที่ทำวัตรเย็นพระอาจจะดับเทียนไม่สนิทหรือไส้เทียนอาจจะติดขึ้นมา คาดว่า สาเหตุเกิดจากเทียนพรรษาทำให้เกิดเพลิงไหม้ครั้งนี้ ส่วนเรื่องความเสียหาย มีโต๊ะหมู่บูชาหน้าพระประธาน อาสนะ พรม และและแท่นไม้นั่งสวดมนต์ถูกไฟไหม้ได้รับความเสียหาย ส่วนองค์พระประธานไม่ได้รับความเสียหายจากไฟไหม้ แต่มีควันที่ทำให้องค์พระประธานหมองลงเล็กน้อย จากนี้ก็จะเร่งทำความสะอาด ซ่อมแซมด้านในให้กลับมาเหมือนเดิม

สำหรับวัดจูงนาง หรือวัดศรีรัตนารามแห่งนี้ เล่าขานสืบต่อกันมายาวนาน ว่า  ชื่อวัดหน้าทอง ( มีหน้าบันอุโบสถ ทำด้วย ทองคำ  มี เศรษฐี ท่านหนึ่งในชุมชนแห่งนี้มีลูกสาวสวย มีกุศลศรัทธาสร้างถวาย) ในภายหลัง ได้มีพระราชาองค์หนึ่งเกิดมาชอบและขอลูกสาวของเศรษฐี  แต่สาวไม่ยินยอมพร้อมใจที่จะแต่งงานด้วย  จึงให้ทหารลากจูงนางมาลงเรือเพื่อกลับเมือง จนนางกลั้นใจขาดใจตาย  จึงเป็นที่มาของคำว่า  จูงนาง พระราชา จึงได้สร้างที่เผานาง ด้วยความเสียดายและเสียใจยิ่ง จึงโปรดให้สร้าง วัดเป็นอนุสรณ์  คือ  วัดจูงนาง  หรือ วัดหน้าทอง  ซึ่งอยู่ติดกับวัดจูงนางในปัจจุบัน

ภายหลัง หลวงพ่อไซ่ ธมฺมกาโม ( พระครูศรีรัตนาภรณ์  พระเกจิอาจารย์ดังขมังเวทย์เมืองพิษณุโลก ) ได้มาบูรณะปฏิสังขรณ์ วัดจูงนาง ที่รกร้างมายาวนาน จากภัยสงคราม นับแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จนถึงศึกอะแซหวุ่นกี้ ตีเมืองพิษณุโลกใน ปี พ.ศ. 2318 -2319  แล้วจึงสร้างอุโบสถหลังใหม่ของวัดจูงนาง ฃขึ้นในราวปี พ.ศ.2513 จึงได้ย้ายพระประธานหลวงพ่อหน้าทอง จากซากโบสถเก่า วัดหน้าทอง ในประดิษฐาน ในอุโบสถใหม่ วัดจูงนาง เรียกกันว่า  หลวงพ่อหน้าทองมาจนทุกวันนี้

ข่าว/ภาพ : นายชินวัฒน์  สิงหะ ผู้สื่อข่าวจังหวัดพิษณุโลก

Message us