โค้ชชิ่งผ้า”ลายสิริวชิราภรณ์”ให้ผู้ประกอบการผ้า 27 จังหวัดภาคกลาง-ตะวันออก

ที่โรงแรมเดอะ คาวาลิ คาซ่า รีสอร์ท จ.พระนครศรีอยุธยา นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เป็นประธานเปิดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ประเภทผ้าและเครื่องแต่งกาย ช่างทอผ้าและงานหัตถกรรม (Coaching) ผ้าลายพระราชทาน “ผ้าลายสิริวชิราภรณ์” และงานหัตถกรรม จุดดำเนินการที่ 3 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมี นายสยาม ศิริมงคล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นางอรจิรา ศิริมงคล อุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทยและประธานชมรมแม่บ้านพัฒนาชุมชน หัวหน้าส่วนราชการ และคณะทำงานโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุก ได้แก่ ดร.ศรินดา จามรมาน นายธนันท์รัฐ ธนเสฏฐการย์ ผศ.ดร.อนุชา ทีรคานนท์ นายศิริชัย ทหรานนท์ ผศ.ดร.รวิเทพ มุสิกปาน อ.ดร.กรกลด คำสุข นายตะวัน ก้อนแก้ว นายนุวัฒน์ พรมจันทึก และผู้เข้าร่วมอบรมจาก 26 จังหวัดภาคกลางและภาคตะวันออก ร่วมรับฟังเป็นจำนวนมาก

นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า ตนมีความยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งในทุกครั้งที่ได้มาเป็นประธานเปิดการ coaching เพื่อพัฒนาศักยภาพของพี่น้องผู้เป็นความหวังของแผ่นดินและเป็นผู้ที่ช่วยขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตของคนไทยให้เกิดความเป็นอยู่ที่ดีเพิ่มมากขึ้นควบคู่ไปกับการรักษาภูมิปัญญาของบรรพบุรุษในเรื่องของงานผ้าและงานหัตถกรรม หัตถศิลป์ให้คงอยู่คู่กับผืนแผ่นดินไทย อีกทั้งยังถือเป็นโอกาสอันดีที่ได้มาเจอพี่น้องข้าราชการรวมทั้งจิตอาสาทุกท่านผู้มีความมุ่งมั่นน้อมนำแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จากการนำแนวคิดเกษตรทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่การทำโครงการโคก หนอง นา เพื่อขับเคลื่อนเป็นอารยเกษตรพัฒนาคุณภาพชีวิตพี่น้องประชาชนและเกษตรกรทุกคนให้ดีขึ้น โดยเฉพาะพี่น้องชาวภาคกลางและภาคตะวันออก ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีความโดดเด่นในด้านภูมิปัญญาและวิถีชีวิต

ทั้งนี้ ขอให้พวกเราทุกคนได้มั่นใจและมั่นคงที่จะยืนหยัดน้อมนำพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังพระปฐมบรมราชโองการ 4 พ.ค. 62 ความว่า “เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป” และพระราชดำรัสที่พระราชทานแก่ข้าราชบริพารในพระองค์ เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 63 ความว่า “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งทั้ง 2 องค์ต่างมีนัยสำคัญ คือ “เรา” ในฐานะพสกนิกรของพระองค์ต้องน้อมนำเอามาขบคิดและทำให้เกิดรูปธรรม เพราะเป้าหมายที่สำคัญที่สุด คือ ต้องทำให้ครอบครัว ชุมชน สังคม หมู่บ้าน มีความสุขอย่างมั่นคงและยั่งยืน ด้วยการร่วมกันทำ 2 สิ่ง

คือ 1. ขยันหมั่นเพียรฝึกฝนน้อมนำเอาแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา และพระราชดำริ พระดำริ พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ที่พระราชทานให้กับพวกเรา ไปปรับใช้ตามภูมิสังคม ทำให้เกิดสิ่งที่ดีกับตัวเราและครอบครัว และขยายผลสิ่งที่ดีเหล่านี้ให้กับคนที่เรารัก คนรอบข้าง เพื่อนบ้าน ด้วย และ 2. ข้าราชการทุกคนต้องยึดมั่นปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มเปี่ยม สุดกำลังความสามารถ เพื่อ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ให้กับพี่น้องประชาชน เป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ดูแลพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนให้ดีขึ้นอย่างมั่นคงและยั่งยืนสืบไป แต่ทว่า โอกาสหรือเวลาที่จะได้ทำความดีนั้นมีความไม่แน่ไม่นอน เราต้องทำตั้งแต่วันนี้ อย่าไปรีรอ และสิ่งสำคัญที่สุด คือ เราต้องถ่ายทอดสิ่งที่ดีงามนี้จากรุ่นสู่รุ่น สู่เยาวชนคนรุ่นใหม่ เพื่อให้พวกเขามาสืบสานทักษะและต่อยอดให้เกิดสิ่งที่สวยงาม สร้างสรรค์ คงอยู่คู่กับแผ่นดินไทย” นายสุทธิพงษ์ กล่าวในช่วงต้น

นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงเป็นพระราชธิดาผู้มีกตเวทิตาคุณต่อสมเด็จพระบรมชนกนาถและพระราชบุพการี ด้วยทรงมีพระปณิธานอันมุ่งมั่นในการแบ่งเบาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยทรงปฏิบัติบำเพ็ญพระกรณียกิจเสด็จไปทรงงานในจังหวัดต่าง ๆ พร้อมพระราชทานความรู้ คำแนะนำ เพื่อธำรงรักษาภูมิปัญญา อัตลักษณ์ ศิลปวัฒนธรรม ประเพณีอันดีงาม ที่สะท้อนผ่านงานหัตถศิลป์ หัตถกรรมไทย ให้คงอยู่อย่างยั่งยืน ควบคู่การรักษาสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับโลกใบเดียวนี้ อันเป็นสิ่งที่พวกเราต้องช่วยกันสื่อสารและต่อยอดด้วยการมี “ทายาท” ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นลูกหลาน แต่เป็นใครก็ได้ อาจเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันหรืออำเภอเดียวกัน จังหวัดเดียวกันก็ได้ หรือคนต่างชาติก็ได้ ให้เขามารับเอาสิ่งที่ดี ปลูกฝังให้เขารับเอาวิชาที่เขาสามารถทำได้ จึงเป็นที่มาของเครื่องหมายพระราชทาน Sustainable Fashion รับรองผลิตภัณฑ์หัตถศิลป์หัตถกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

อย่างไรก็ตาม ซึ่งเป็นการ guarantee ว่า ผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซเสียขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ดังนั้นงานผ้าหรืองานหัตถกรรมทุกชนิดจึงต้องใช้สีธรรมชาติ ใช้วัสดุธรรมชาติ และยืนอยู่บนพื้นฐานของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง นั่นคือ “การพึ่งพาตนเอง” ดังที่ทรงยั่วยุให้พวกเราพยายามที่จะปลูกพืชให้สีธรรมชาติ ปลูกหม่อน เลี้ยงไหม ปลูกฝ้าย มีการแลกเปลี่ยนวัสดุซึ่งกันและกันในประเทศ โดยไม่ใช้วัสดุจากโรงงาน จากเครื่องจักร จากกระบวนการผลิตแปรรูปที่ต้องใช้ทางเคมี หรือทางอุตสาหกรรม เพราะกระบวนการเหล่านี้ มันปลดปล่อยสิ่งที่เราเรียกว่า ยาพิษให้กับโลก และยังเป็นการหยิบยืมวัสดุจากต่างชาติ อันเปรียบได้กับการ “ใช้จมูกคนอื่นหายใจ” เพราะวัสดุจำพวกเม็ดพลาสติก เส้นใหญ่อุตสาหกรรม ล้วนมาจากต่างประเทศทั้งสิ้น โดยในด้านของความยั่งยืนนั้น ขณะนี้กรมการพัฒนาชุมชนได้ร่วมกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก ดำเนินการรับรอง Carbon Footprint จากกระบวนการผลิตผ้าไทย ซึ่งมี 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองแล้ว คือ 1. ใยกัญชง Piyasila จ.เพชรบูรณ์ 2. ฝ้ายย้อมคราม ดอนกอยโมเดล จ.สกลนคร 3. เส้นใยไหม นาหว้าโมเดล จ.นครพนม 4. ฝ้ายย้อมสีธรรมชาติ จ.ลำพูน และอยู่ระหว่างการรับรองผ้าซาติน ผ้าบาติก จ.ปัตตานี

ด้าน ดร.วันดี กล่าวว่า นับเป็นระยะเวลากว่า 5 ปีตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบัน ที่พวกเราทุกคนได้รับพระกรุณาคุณจากพระองค์ จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของวงการผ้าและงานหัตถกรรมไทยอย่างมีนัยสำคัญ พี่น้องผู้ประกอบการทุกภาคต่างมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ซึ่งล่าสุด คุณ Bénédicte Épinay ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Comité Colbert ได้เดินทางมาเยี่ยมชมพัฒนาการของพวกเราทุกคนที่ได้รับจากพระกรุณาคุณ ซึ่งท่านได้ชื่นชมในพระอัจฉริยภาพ พร้อมทั้งมอบแนวคิดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าไทยและงานหัตถกรรมแก่พวกเรา 2 เรื่อง คือ 1. Sustainable Fashion ต้องอยู่คู่กับโลกและสิ่งแวดล้อม ด้วยด้วยการใช้วัสดุธรรมชาติ เพราะเป็นเทรนของโลก และชื่นชมว่าสิ่งที่พระองค์ทรงยุยงพวกเราได้รับการยกย่องจากองค์การสหประชาชาติ (UN) ซึ่งในปีนี้ เราจะได้ไปจัดแสดงผืนผ้าและผลิตภัณฑ์แห่งความยั่งยืนที่สำนักงานใหญ่ UN ณ นครนิวยอร์ค เพื่อให้คนทั้งโลกได้ชื่นชมพระอัจฉริยภาพ พระปรีชาชาญ รวมถึงความสามารถของคนไทยที่สามารถก้าวไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในด้านเครื่องแต่งกาย และ 2. เรื่อง “คุณภาพและราคา” เพราะไม่ว่าผ้าจะถูกหรือแพงอยู่ที่คุณภาพ งาน craft งานฝีมือไม่เหมือนกัน แต่ทุกชิ้นต้องยึดอยู่ที่คุณภาพ แล้วเราจะประสบความสำเร็จที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

Message us