“เศรษฐา”ยืนยันเพื่อไทยไม่แตกแถวหนุน”พิธา”เป็นนายกฯ คนที่ 30 ของไทย

เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ที่ โรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค กรุงเทพฯ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย (พท.)​ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีขั้วรัฐบาลปัจจุบันระบุหากโหวตเลือกนายกฯ ครั้งแรกแล้วไม่ผ่าน ในการโหวตครั้งถัดไปควรให้โอกาสพรรคการเมืองอันดับสองเสนอชื่อ ไม่ควรเสนอชื่อเดิมซ้ำ เพราะไม่ใช่การเลือกหัวหน้าห้อง ว่า เลยเวลาเลือกหัวหน้าห้องของตนมานานมากแล้ว ตอนนั้นเลือกตั้งแต่เด็กๆ จำไม่ได้ว่าเลือกกันยังไง แต่ตนเชื่อว่า ต้องดูที่ตัวเลข เพราะความจริงก็ควรให้โอกาสเขาในการโหวตครั้งที่สอง

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะผ่านไปได้ด้วยดีหรือไม่นั้น นายเศรษฐา กล่าวว่า ตามที่ได้คุยกับพรรคก้าวไกล และการให้สัมภาษณ์ของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกล ก็คาดว่าจะได้ 376 เสียง เมื่อถามว่า พรรคก้าวไกลจะได้เสียงจาก ส.ว.เท่าไร เพราะ ส.ว. ส่วนใหญ่บอกจะไม่สนับสนุน จนมีกระแสข่าวว่ามีการซื้อเสียงแลกโหวต นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนไม่ทราบ เรื่องการซื้อเสียงเราไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว ควรใช้เหตุผลในการคุยกันมากกว่า เรื่องนี้สำคัญและเป็นเรื่องของประเทศชาติ ประชาชนได้พูดแล้วว่าอยากได้ฝ่ายไหนมาจัดตั้งรัฐบาล

เมื่อถามว่า สำหรับเงื่อนไขหลักของ ส.ว.ในประเด็นการแก้ไขมาตรา 112 จะเป็นข้ออ้างในการโหวตเลือกนายพิธา เป็นนายกฯหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ส.ว.หลายคนก็ออกมาแสดงความคิดเห็น แต่เชื่อว่าไม่เกิน 10 คน ซึ่ง ส.ว.มีถึง 250 คน ซึ่งอาจมีพลังเงียบ ที่เห็นกับการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย และหวังว่าจะร่วมกันได้ด้วยดี เมื่อถามว่า กรณีที่ ส.ว.มองว่าแม้แต่ในร่างเอ็มโอยูไม่มีเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 และเหตุใดพรรคก้าวไกลจึงไม่ลดเพดาน เพื่อผลักดันให้นายพิธาเป็นนายกฯ นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องไปถามพรรคก้าวไกล เพราะเป็นคนเขียนเรื่องนี้มา เราเป็นพรรคอันดับสอง

เมื่อถามถึงการจัดตั้งรัฐบาลหากล่าช้าจะส่งผลต่อการแก้ไขปัญหาให้ประชาชนไปด้วยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า นี่เป็นปัญหาที่ตนพูดมานานแล้ว นักการเมืองมักลืมไปว่ามาทำการเมืองเพื่ออะไร เรามาทำเพื่อช่วยเหลือประชาชน สองเดือนที่มีการเลือกตั้งไป ผลออกมาชัดเจน และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็รับรองแล้ว แต่ยังไม่มีนายกฯมันก็ลำบาก แล้วจะบริหารจัดการประเทศอย่างไร

“ถ้ามีการเลือกนายกฯได้เร็วๆ และฟอร์มรัฐบาลได้ภายในต้นเดือน ส.ค.กว่าจะใช้งบประมาณของปี 67 ได้ ก็กลางเดือน มี.ค.ผมอยากวิงวอนให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี อย่างพรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้หยุดนิ่ง มีการลงพื้นที่ศึกษาปัญหาต่างๆ หากได้เข้าร่วมรัฐบาลจริงตามที่พูดกันไว้ เราจะได้ดำเนินการได้เลย นี่เป็นความหวังที่เรามองไว้” นายเศรษฐา กล่าว

เมื่อถามว่า จะผลกระทบต่อภาคการลงทุนหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตอนนี้เรายืนอยู่บนปากเหว ตัวเลขส่งออกติดลบ หนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 90% การลงทุนจากต่างประเทศก็ชะงัก เพราะไม่แน่ใจในทิศทางของรัฐบาลใหม่ และอีก 3 เดือนก็จะเข้าสู่ไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว แต่ยังมีปัญหาเรื่องวีซ่า เรื่องโลจิสติกส์ เรื่องการบริหารจัดการสายการบิน ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องรีบดูแล เมื่อถามต่อว่า ความคืบหน้าในการแบ่งโควตากระทรวงในพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล นายเศรษฐา กล่าวว่า ยังอยู่ในการต่อรอง แต่จากที่ได้ยินมาก็น่าจะลงตัวกันหมดแล้ว ตนไม่ได้อยู่ในคณะทำงานที่ถกกันเรื่องนี้ ซึ่งตามความเข้าใจของตนคงเป็นตามที่สื่อเสนอ

เมื่อถามว่า กระแสข่าว นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ยืนยันจะเดินทางกลับประเทศไทยปลายเดือน ก.ค.นี้ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนไม่ทราบข่าว แต่นายทักษิณ ก็ยืนยันหลายครั้งแล้วว่าหากกลับมาก็เป็นเรื่องส่วนตัวของท่าน ไม่กระทบเรื่องของพรรค จะเข้ากระบวนการทางกฎหมาย เมื่อถามย้ำว่า นี่จะทำให้ทิศทางการเมืองเปลี่ยนหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า การกลับมาไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรค และการจัดตั้งรัฐบาล การบริหารจัดการประเทศ ดังนั้น จึงไม่เกี่ยวข้องกัน

“เราเลือกตั้งเสร็จแล้ว เลือกตั้งจบแล้ว เราก็อยากให้การโหวตนายกฯ ในวันที่ 13 ก.ค.นี้ เป็นไปได้ด้วยดี ยืนยันพรรคเพื่อไทยไม่แตกแถว สนับสนุนนายพิธา เป็นนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศไทย” นายเศรษฐา กล่าว

Message us