
จากกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้ ร้านจำหน่ายของฝาก-ของที่ระลึก เชิงสะพานอุตตมานุสรณ์ หรือสะพานมอญ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง วอดไป 5 หลัง เมื่อช่วงกลางดึกของคืนที่ผ่านมานั้น ความคืบหน้าเช้าวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ชุมชนบ้านวังกะ หมู่ 2 ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรีสถานที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ พบนักท่องเที่ยวและประชาชนเดินทางมาดูภาพความเสียหายของร้านค้าที่ถูกไฟไหม้เมื่อคืนที่ผ่านมา
เบื้องต้นจากการสอบถามชาวบ้านพบว่า มีร้านค้าถูกเพลิงเผาวอดไปทั้งหมด 5 หลังด้วยกัน โดยแบ่งเป็นบ้านพักอาศัย ที่เป็นบ้านไม้ 2 ชั้น จำนวน 1 หลัง ร้านค้าที่เป็นบ้านไม้ 2 ชั้น จำนวน 1 หลัง ส่วนอีก 3 หลังเป็นร้านค้า โชคดีเมื่อคืนตอนเกิดเหตุไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ส่วนสาเหตุเพลิงไหม้ในครั้งนี้คาดว่าน่าจะเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร เนื่องจากมีชาวบ้านพบเปลวไฟลุกจากร้านค้า 2 ชั้นก่อนจะลุกลามไปยังบ้านข้างเคียงที่อยู่ติดกันทั้งสองด้าน ส่วนสาเหตุที่แท้จริงต้องรอเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลังฐาน เข้าตรวจสอบ ซึ่งคาดว่าจะเดินทางมาถึงในช่วงบ่ายของวันนี้

ขณะที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงต้องใช้เชือกมากั้นสถานที่เกิดเหตุไว้ เพื่อรอการเข้าตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งต้องคอยดับไฟที่ระอุขึ้นบางครั้ง เนื่องจากภายในมีเศษไม้ เถ้าถ่านและเศษผ้าที่เป็นเชื้อเพลิงอย่างดี เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟปะทุขึ้นมาอีก
ด้านการช่วยเหลือผู้ประสบเหตุอัคคีภัยในครั้งนี้เบื้องต้น นายวิจารณ์ กุลชนะรัตน์ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลวังกะ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า จะให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ตามระเบียบของทางราชการ ขณะที่ นายสุทธิพร ศิวเวทพิกุล นายอำเภอสังขละบุรี เตรียมลงพื้นที่บ่ายวันนี้ เพื่อมอบถุงยังชีพและหาทางช่วยเหลือประชาชนที่ประสบเหตุในครั้งนี้ต่อไป
ด้าน น.ส.เปรมสินี หงษ์เบญจกาญจน์ อยู่บ้านเลขที่ 441 หมู่ 2 ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็น 1 ในผู้ประสบเหตุ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ช่วงที่เกิดเพลิงไหม้ตนเองกำลังนอนอยู่ในบ้านกับลูก และพ่อ เมื่อได้ยินเสียงไฟไหม้ตนรีบพาลูกวิ่งออกจากบ้านมาบนถนน ขณะที่พ่อพยายามฉีดน้ำสกัดไฟไม่ให้ลามมาถึงบ้าน ก่อนที่จะมีเพื่อนบ้านและเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเดินทางมาช่วยดับไฟ จนป้องกันบ้านไม่ให้โดนไฟไหม้สำเร็จ แต่ร้านค้าที่อยู่ด้านหน้าซึ่งภายในมีเสื้อผ้าพื้นเมืองจำนวนมาก พร้อมทั้งจักรเย็บผ้าถูกไฟไหม้เสียหายทั้งหมด ทำให้แทบหมดตัว อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าช่วยเหลือ เพื่อให้กลับมาประกอบอาชีพค้าขายได้อีกครั้ง

ขณะที่บรรยากาศในชุมชนบ้านวังกะ เช้าวันนี้ยังคงมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยว และหลายคนตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขอเป็นกำลังใจผู้ประสบภัยทุกคน เหตุการณ์ไฟไหม้ในครั้งนี้ทำให้หลายฝ่ายตื่นตัวและหาแนวทางป้องกัน เนื่องจากชุมชนบ้านวังกะเป็นชุมชนที่มีการก่อสร้างบ้านเรือนที่หนาแน่น ที่สำคัญบ้านเรือนส่วนใหญ่สร้างด้วยไม้ และมีอายุการใช้งานมานานกว่า 30 ปี ซึ่งหลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหากเหตุการณ์เพลิงไหม้ในครั้งนี้เป็นช่วงกลางวันความเสียหายน่าจะมากกว่านี้หลายเท่า ส่วนความเสียหายจากเหตุการณ์เพลิงไหม้ในครั้งนี้จากการสำรวจล่าสุดเบื้องต้นคาดว่าไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท
ข่าว/ภาพ : ปิยรัตน์ จงเจริญ ผู้สื่อข่าวจังหวัดกาญจนบุรี

