ส.อ.ท.หนุนแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นกระตุ้นศก.แนะต้องฟังความเห็นรอบด้าน

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกปี 2567 ที่ยังคงมีทิศทางชะลอตัวและมีปัจจัยเสี่ยงจากการสู้รบระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสที่ยังไม่แน่นอนว่าจะขยายวงหรือไม่ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงได้ยากประกอบกับไทยเองมีภาระหนี้ครัวเรือนทั้งในระบบและนอกระบบที่สูงจึงต้องเร่งอัดกำลังซื้อโดยรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ผ่าน โครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทซึ่งส.อ.ท.เห็นด้วยแต่วิธีการดำเนินงานนั้นจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องรับฟังความเห็นรอบด้านแล้วนำมาปรับปรุงเพื่อปิดจุดอ่อน

นายเกรียงไกร กล่าวว่า เมื่อเร็วๆนี้ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้ประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่าประมาณ 17 ล้านล้านเยนหรือประมาณ 4.04 ล้านล้านบาท โดยเงิน 13 ล้านล้านเยน ได้รับการสนับสนุนจากการจัดทำงบประมาณพิเศษ สำหรับช่วงเวลาที่เหลือของปีงบประมาณจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2567 เป้าหมายเพื่อบรรเทาค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น จากผลกระทบเงินเฟ้อในภาคครัวเรือน โดยมุ่งเน้นไปที่การลดอัตราภาษีชั่วคราวคนละ 30,000 เยน และ 10,000 เยน สำหรับภาษีที่อยู่อาศัยประมาณ 5 ล้านล้านเยน รวมถึงการแจกเงินให้ครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ ครอบครัวละ 70,000 เยน หากเทียบกับวงเงินดิจิทัลวอลเล็ตของไทยแล้วสูงถึง 8 เท่า ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะเปราะบาง”นายเกรียงไกรกล่าว

สำหรับ โครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท มีทั้งผู้สนับสนุนและคัดค้านแต่การคัดค้านก็เพราะมีข้อห่วงใยรัฐบาลจำเป็นต้องนำข้อห่วงใยมาปรับปรุงเพื่อปิดจุดอ่อนในเรื่องของการบริหารที่จะต้องตอบโจทย์ว่าระบบดิจิทัลดีอย่างไรโดยเฉพาะการควบคุมการใช้เงินที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นไม่รั่วไหล มีการกำหนดระยะเวลาการใช้เงินชัดเจน และที่สำคัญกระจายถึงประชาชนอย่างทั่วถึง ไม่มีการนำเงินไปใช้นอกระบบเช่น การชำระหนี้ ฯลฯ ซึ่งหากสามารถปิดจุดอ่อนต่างๆที่ประชาชนกังวลได้ก็จะสามารถดำเนินการในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้มีการเติบโตปีละ 5% ตามที่รัฐบาลคาดหวังไว้เพราะจะเกิดการลงทุนและจ้างงานเพิ่มขึ้นตามมา เนื่องจากระยะ 10 ปีที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือ GDP โตเฉลี่ยแค่ 1.8-1.9% เท่านั้นซึ่งต่ำสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“ งบประมาณรายจ่ายของภาครัฐปี 2567 น่าจะดีเลย์ออกไปอาจทำให้โครงการนี้ไปดำเนินการได้ในช่วงเม.ย.-พ.ค.67 แต่ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็เห็นว่าจำเป็นที่ไทยต้องกระตุ้นเศรษฐกิจแบบแรงเช่นเดียวกับญี่ปุ่นแต่เม็ดเงินไม่ต้องมากถึงระดับ 5.6 แสนล้านบาทก็ได้เพราะเวลานี้หนี้ครัวเรือนคิดเป็น 90.6% ของGDP และหนี้นอกระบบ 19.6% ทำให้แรงซื้อต่ำมาก”นายเกรียงไกรกล่าว

ทั้งนี้ การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ และเงินเดือนราชการนั้นรัฐก็พยายามจะมุ่งเน้นเพิ่มรายได้ในระบบอีกทางหนึ่งโดยในส่วนของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำนั้นได้มีการหารือกับรัฐโดยเฉพาะกระทรวงแรงงานไปแล้วซึ่งส.อ.ท.ไม่ได้คัดค้านการปรับขึ้นหากแต่ต้องอยู่ภายใต้เกณฑ์การพิจารณาของคณะกรรมการค่าจ้างกลาง(ไตรภาคี) เป็นสำคัญเพราะหากขึ้นค่าแรงแบบรุนแรงนั้นอาจจะไม่ใช้เวลาที่เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ขณะนี้

Message us