นายสุระ เตชะทัต เลขาธิการพรรคพลังบูรพา กล่าวถึงกรณีสส.พรรคก้าวไกล ยื่นร่างพรบ.นิรโทษกรรม ต่อประธานสภาฯ เพื่อขอนิรโทษกรรมให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง ตั้งแต่วันที่19ก.ย.49ว่า เข้าใจว่า ทุกฝ่าย ทั้งพรรคก้าวไกลหรือพรรคการเมืองอื่น ต่างมองเห็นตรงกันในจุดใหญ่คือ ควรจะนิรโทษกรรมให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองมาตั้งแต่ปี2549, 2552, 2553, 2557, 2561 เพียงแต่ในรายละเอียดของเนื้อหา ควรที่จะต้องมาพิจารณาร่วมกันจะครอบคลุมไปถึงมูลฐานความผิดใด คดีความประเภทใด ที่ควรได้รับการนิรโทษ หรือไม่ได้รับการนิรโทษ
หลักคิดที่จะนิรโทษกรรมให้ประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม แสดงออกทางการเมืองนั้นเป็นเรื่องที่ดี เพื่อสลายความขัดแย้งทำให้คนในชาติสามัคคี หลังจากเราขัดแย้ง แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันมาตลอดในยุค 17 ปีที่ผ่านมา ส่วนตัวมองว่า นอกจากนักการเมืองใช้เวทีสภาฯหารือแล้ว ด้านนอกสภาฯก็ควรมีเวทีสาธารณะ มาถกเถียงหาข้อสรุปร่วมกันจนตกผลึกแล้วนำมาซึ่งทางออก โดยที่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแสดงออกทางการเมือง ก็จะได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ โดยที่ไม่กระทบไปถึงกระบวนการยุติธรรม ในแง่การบังคับใช้กฎหมายก็ต้องไม่กระทบเช่นกัน
นายสุระ ยังกล่าวถึงการตั้งคณะกรรมการศึกษาแนวทางทำประชามติ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญในอนาคตว่า ต้องยอมรับว่า รัฐธรรมนูญ2560 ค่อนข้างมีปัญหา ภาคการเมืองมองว่า บางมาตราไม่เป็นธรรมต่อพรรคการเมือง นักการเมือง มีบทลงโทษที่รุนแรงเกินไป ส่วนการได้มาซึ่งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(สสร.)มาจากภาคส่วนใด วิธีการใด เนื้อหารัฐธรรมนูญที่ควรแก้ไข หรือแม้แต่การทำประชามติ ควรทำกี่ครั้ง ล้วนเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องนำมาหารือ ถกกันให้ตกผลึก หาข้อสรุปร่วมกันให้ได้อย่างแท้จริง ฝ่ายที่จะแก้ ก็จะได้ไม่ถูกมองว่า แก้เพื่อพวกพ้อง หรือเป็นการแก้เพื่อซื้อเวลาทางการเมือง
