
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จัดทำ รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ความยากจนและความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ปี 2566 เนื้อหาสำคัญพบตัวเลขจำนวน “คนจน” ในประเทศยังอยู่ในอัตราที่สูงกว่า 2.39 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนคนจน อยู่ที่ 3.41%
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาภาพรวม สถานการณ์ความยากจนในระดับจังหวัด พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า จำนวนคนจนในระดับจังหวัดปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่วนใหญ่มีสัดส่วนคนจนลดลง โดยเฉพาะจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ซึ่งจังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนลดลงมากที่สุด 5 จังหวัด ได้แก่
- แม่ฮ่องสอน
- ตาก
- ศรีสะเกษ
- กาฬสินธุ์
- พะเยา
นอกจากนั้นพบว่า มีเพียง 12 จังหวัดเท่านั้น ที่มีสัดส่วนคนจนเพิ่มสูงขึ้นจากปี 2565 ส่วนใหญ่เป็นจังหวัดที่อยู่ในภาคกลางเป็นหลัก อย่างไรก็ดี กลุ่ม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังคง มีสัดส่วนคนจนอยู่ในระดับสูง ประกอบด้วย
- ประจวบคีรีขันธ์
- สุพรรณบุรี
- กำแพงเพชร
- สตูล
- ชัยภูมิ
- พิษณุโลก
- ตราด
- สุราษฎร์ธานี
- สมุทรปราการ
- ชลบุรี
- สมุทรสงคราม
- ปทุมธานี
สัดส่วนคนจนจำแนกรายจังหวัด
จากรายงานพบว่า จังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่
- ปัตตานี
- นราธิวาส
- แม่ฮ่องสอน
- พัทลุง
- สตูล
- หนองบัวลำภู
- ตาก
- ประจวบคีรีขันธ์
- ยะลา
- ตรัง
สำหรับ ปัตตานีและแม่ฮ่องสอนติดอยู่ใน 5 อันดับแรกของ จังหวัดที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุดต่อเนื่องกันอย่างน้อย 15 ปี สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความยากจนเรื้อรังในจังหวัดดังกล่าว
นอกจากนี้ หากพิจารณาจาก 10 จังหวัดแรกที่มีสัดส่วนคนจนสูงสุดในปี 2566 จะพบว่า 5 ใน 10 จังหวัด ได้แก่ ปัตตานี นราธิวาส แม่ฮ่องสอน ตาก และยะลา มักติดอยู่ใน 10 อันดับแรกของจังหวัดที่มีสัดส่วน คนจนสูงสุดในปีอื่น ๆ ด้วย กล่าวคือ มีแนวโน้มเผชิญกับปัญหาความยากจนเรื้อรัง
หากพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อเดือนกับสัดส่วนคนจนรายจังหวัด ตามแผนภาพด้านล่าง พบว่า ส่วนใหญ่จังหวัดที่มีรายได้เฉลี่ยต่อคนสูงมักจะมีสัดส่วนคนจนต่ำ ขณะที่ จังหวัดที่มีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่ำจะมีสัดส่วนคนจนสูง ซึ่งรูปแบบความสัมพันธ์ดังกล่าวสอดคล้องกับแนวคิด การส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจในฐานะกลไกสำคัญที่ช่วยบรรเทาปัญหาความยากจนของประเทศ
อีกทั้งยังสอดคล้องกับผลการศึกษาองค์ประกอบความยากจนที่อธิบายการปรับตัวลดลงของความยากจนว่า เป็นผลมาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช่วยให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มมากขึ้นและหลุดพ้นจากความยากจน แต่ในระยะหลังกลับมีผลต่อการลดลงของความยากจนเพียงส่วนน้อย เพราะปัจจัยทางด้านการกระจายรายได้ไม่ได้เป็นไปในทิศทางที่ดี ทำให้ผลประโยชน์จากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมักกระจุกตัวในกลุ่มผู้มีรายได้สูงแทน
อย่างไรก็ตาม มีบางจังหวัดที่มีรายได้เฉลี่ยต่อคนค่อนข้างสูงแต่กลับมีสัดส่วนคนจนสูงเช่นกัน เช่น นครศรีธรรมราช อ่างทอง ลำปาง เช่นเดียวกับในบางพื้นที่ที่มีจังหวัดที่มีรายได้เฉลี่ยค่อนข้างต่ำและมีสัดส่วนคนจนต่ำ เช่น ชัยภูมิ ร้อยเอ็ด ทำให้ในอีกมุมหนึ่ง จึงอาจไม่สามารถนำไปสู่ข้อสรุปที่ชัดเจนได้ว่าการมีรายได้สูงขึ้นจะช่วยแก้ไขปัญหายากจนได้เสมอไป เนื่องจากอาจมีปัจจัยอื่น โดยเฉพาะปัจจัยด้านความเหลื่อมล้ำแฝงอยู่