“วรากรณ์” ฟาดดิจิทัลวอลเล็ต ! เสียหายใหญ่หลวงต่อระบบเศรษฐกิจไทย

เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2566  นายวรากรณ์ สามโกเศศ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตรมช.ศึกษาธิการ ในฐานะนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง ที่ร่วมลงชื่อในการเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการดำเนินนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ที่ตอนนี้มีคนร่วมลงชื่อมากขึ้นเรื่อยๆ กล่าวถึงเหตุผลในการไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าวของรัฐบาลว่า นอกเหนือจากเหตุผลหลายข้อที่ระบุไว้ในเอกสารที่เผยแพร่แล้ว ในฐานะความเป็นปัจเจกบุคคล ที่เคยเป็นนักวิชาการในมหาวิทยาลัย ซึ่งมหาวิทยาลัยมีหน้าที่สามอย่างด้วยกัน หนึ่งตอบสนองในการผลิตบัณฑิตสาขาต่างๆที่สังคมต้องการ สองคือชี้นำ โดยบางสาขาหรือบางเรื่องที่สังคมอาจจะยังไม่สนใจ ก็ต้องพยายามชี้แนะให้เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ สาม คือ”เตือนสติ”

“ผมกำลังทำหน้าที่ของการเตือนสติเพราะว่า เราอยู่ในวงการของคนที่สอนและเรียนรู้เรื่องนี้มาเป็นระยะเวลายาวนาน ก็คิดว่าเราควรมีหน้าที่ในฐานะคนไทยที่ต้องช่วยกันให้คำแนะนำที่ถูกต้องอย่างสุภาพ มีเหตุมีผล จึงเป็นเหตุผลที่มีการเขียนจดหมายดังกล่าวขึ้นมา หลังจากที่พวกเราที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์ ที่ได้มีการพบกันแล้วมีการพูดเรื่องนโยบายดังกล่าวขึ้นมา ทุกคนก็ตกใจ ก็มีการติดตามกันมา และเห็นว่าหากปล่อยไว้ แล้วนโยบายดังกล่าวออกมาตามที่เขาบอกกันไว้ จะเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อระบบเศรษฐกิจไทย จะมีผลกระทบต่อคนทั้งประเทศ และเยียวยาลำบาก” นายวรากรณ์ ระบุ

นายวรากรณ์ กล่าวอีกว่า สาเหตุที่ร่วมลงชื่อด้วย เพราะรู้สึกตกใจที่นโยบายดังกล่าว ที่ใช้งบประมาณมากถึง 560,000 ล้านบาท เป็นงบก้อนใหญ่มาก อาจจะพอๆกับเงินที่ขาดดุลที่อยู่ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ที่อยู่ที่ประมาณเกือบเจ็ดแสนล้านบาท แต่ในส่วนของดิจิทัลวอลเล็ตก็ประมาณเกือบหกแสนล้านบาท เกือบใกล้เคียงกัน ซึ่งยอดขาดดุลของงบประมาณก็มหาศาลแล้ว แต่นโยบายดังกล่าว ที่ทำโดยการโอนให้ประชาชนครั้งเดียว ตามที่นายกฯบอกไว้ที่เคยบอกว่าอาจจะโอนภายในกุมภาพันธ์ 2567 ที่เป็นยอดเงินที่สูงมาก เพราะหนี้ประเทศไทยขณะนี้ ประมาณสิบล้านล้านบาท การที่จะเพิ่มขึ้นอีกห้าแสนกว่าล้านบาท ก็เท่ากับจะเพิ่มอีกประมาณห้าเปอร์เซ็นต์ ซึ่งหนี้ต่างๆที่มีอยู่มันสะสมมาหลายปี ผ่านเหตุการณ์ต่างๆเช่นโควิดระบาด แต่ครั้งนี้หากทำนโยบายดังกล่าว จะทำให้หนี้เพิ่มขึ้นมาแบบปัจจุบันทันด่วน มันย่อมทำให้ตัวเลขหนี้ขึ้นสูงมาก และภาระหนี้ของเราตอนนี้ก็เข้าไปถึง 62 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ประชาชาติ ดังนั้นการชำระหนี้ที่เราต้องเพิ่มมากขึ้น มันก็จะมีทำให้ต้องเพิ่มมากขึ้น โดยปีหนึ่งๆ

Message us