ลูกสาววัย 14 ร่ำไห้แม่ทำงานนวดรัสเซียตายเกือบ 2 เดือนยังนำอัฐิกลับกลับมาทำบุญไม่ได้วอนรัฐช่วยด้วย

เมื่อวันที่ 21 กันยายน  นางเสวียด  ดวงนิล อายุ 68 ปี  ชาวตำบลพระครู  อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ และ ด.ญ.ณัฐธิดา หรือ น้องอ๋อมแอ๋ม  อายุ 14  ปี นักเรียนอยู่ชั้น ม.2 โรงเรียนแห่งหนึ่งในตำบลพระครู ออกมาวิงวอนหน่วยงานภาครัฐทั้งน้ำตาขอให้ช่วยเหลือ น.ส.ภาวิณี  ดวงนิล  อายุ 43 ปี ลูกสาวของยายเสวียด และแม่ของน้องอ๋อมแอ๋ม ที่ไปทำงานเป็นหมอนวดแผนไทยอยู่ที่ประเทศรัสเซียโดยถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อหาเงินส่งเสียเลี้ยงดูครอบครัว ได้เสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุภายในห้องพัก เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2567  โดยเพื่อนคนงานด้วยกันแจ้งเพียงว่านอนหลับตายในห้องพัก อาจจะเพราะทำงานหนักพักผ่อนน้อย  สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้กับครอบครัวเป็นอย่างมาก

 

ทั้งนี้ จึงอยากจะนำร่างหรืออัฐิกลับประกอบพิธีทางศาสนาหรือทำบุญอุทิศส่วนกุศลที่บ้านเกิด แต่ไม่รู้จะติดต่อประสานใคร  ที่ผ่านมามีเพียงอาสาสมัครแรงงานประจำตำบล พาไปยื่นเรื่องที่แรงงานจังหวัด  และจัดหางานจังหวัด เจ้าหน้าที่ก็แจ้งเพียงว่ามีชื่ออยู่ในระบบเป็นแรงงานที่เดินทางไปทำงานถูกต้องตามกฎหมาย แต่ต้องรอนายจ้างทางรัสเซียดำเนินการเรื่องเผาศพแล้วส่งอัฐิกลับมา    จึงจะสามารถนำใบมรณบัตรไปเดินเรื่องสิทธิประโยชน์ต่างๆ ได้  ต่อมาลูกสาวคนโตของผู้ตายก็ได้ส่งเอกสารแจ้งความประสงค์ให้เผาร่างแม่แล้วส่งอัฐิกลับมากลับไทยแล้ว แต่จนถึงขณะนี้ผ่านไปเกือบ 2 เดือนแล้วเรื่องก็เงียบไม่มีใครหรือหน่วยงานใดแจ้งได้ว่า  จะทำพิธีเผาร่าง น.ส.ภาวิณี  และจะส่งอัฐิกลับบ้านเกิดได้ตอนไหนจึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือด้วย

 นางเสวียด บอกว่า ลูกสาวตัดสินใจไปทำงานนวดแผนไทย ตั้งแต่ช่วงเดือน ต.ค.2565 เพราะค่าแรงสูงกว่าในไทย เพื่อหวังจะได้เงินส่งเสียเลี้ยงดูพ่อแม่ที่แก่ชรา และส่งลูกอีก 2 คนเรียน ที่ผ่านมาก็ส่งให้พ่อแม่เดือนละ 6-7 พันบาท ตนเพิ่งจะคุยกับลูกสาวก่อนจะเสียชีวิตแค่ 5 วัน ลูกบอกจะครบกำหนดเดินทางกลับเดือนต.ค. 2567  ที่จะถึงนี้  ตั้งใจจะกลับมาหาพ่อแม่และลูกๆ ที่จากกันเกือบ 3 ปีจะนำเงินเก็บมาซ่อมแซมบ้าน  แต่ลูกก็มาจากไปก่อนเสียใจมาก  อยากให้ภาครัฐช่วยเหลือนำอัฐิลูกสาวกลับมาทำบุญ  และช่วยเหลือเรื่องสวัสดิการต่างๆ ด้วย รวมถึงเงินที่ลูกหักเก็บไว้และเงินเดือนๆ สุดท้ายก็ไม่มีใครรู้

ขณะที่ น้องอ๋อมแอ๋ม พูดทั้งน้ำตาว่า ตนเพิ่งคุยกับแม่ทางโทรศัพท์แค่ 3 วัน ก็ทราบข่าวว่าแม่เสียชีวิตตอนนั้นอยู่ที่โรงเรียนไม่มีกำลังใจจะเรียน คิดถึงแม่อยากให้แม่กลับมาอยู่ด้วย  เมื่อแม่เสียชีวิตแล้วก็อยากให้หน่วยงานภาครัฐ ช่วยเหลือนำอัฐิแม่กลับมาทำบุญที่บ้าน

ด้านนายไพศาล  สุดลา   อาสาสมัครแรงงานประจำตำบลพระครู  กล่าวว่า  นอกจากครอบครัวนี้จะเศร้าโศกเสียใจที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักอยู่ไกลต่างแดน แต่อัฐิก็ยังนำกลับมาทำบุญไม่ได้แล้ว ยังขาดเสาหลักจนตายายต้องไปหยิบยืมเงินญาติพี่น้อง เพื่อนบ้านมาใช้จ่ายกินอยู่และเป็นค่าเล่าเรียนหลานอีก 2 คน  จึงอยากให้หน่วยงานภาครัฐช่วยเหลือติดตามทั้งเรื่องนำอัฐิกลับมาทำบุญ  รวมถึงเร่งรัดดำเนินการเงินช่วยเหลือ  หรือสวัสดิการต่างๆ ที่ครอบครัวแรงงานควรจะได้รับตามสิทธิด้วย เพราะที่ผ่านมาไปยื่นเรื่องแล้วแต่ก็ยังเงียบ

ข่าว/ภาพ : สุรชัย  พิรักษา ผู้สื่อข่าวจังหวัดบุรีรัมย์    

Message us