ยื่นวุฒิสภาเข้าชื่อส่งศาลรธน.ตรวจสอบคุณสมบัติ”พิธา”ก่อนนำทูลเกล้าฯ

เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ที่รัฐสภา นายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำพิราบขาว 2006 ยื่นหนังสือต่อนายสมชาย แสวงการ ส.ว. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.) สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค และนายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว. ในฐานะประธานคณะกมธ.การพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ขอให้ส.ว. ร่วมกันลงชื่อร้องเรียน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และแคนดิเดตนายกฯพรรคก้าวไกล กรณีถือหุ้นสื่อไอทีวี ซึ่งอาจขัดพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยส.ส. มาตรา42(3) และกรณีโอนหุ้นให้กับบุคคลอื่นหลังวันเลือกตั้ง อาจเข้าลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา98(3)

นายนพรุจ กล่าวว่า เพื่อไม่ให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ซึ่งไม่บังควรที่มีการนำรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ที่ยังมีปัญหา นำขึ้นทูลเกล้าเพื่อโปรดเกล้าฯ ตนจึงอยากให้ส.ว.รวบชื่อเพื่อตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้น ไปยังศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้ทันเวลาก่อนโหวตเลือกนายกฯ

ด้านนายเสรี กล่าวว่า เรื่องพิธาถือหุ้นไอทีวีสอดคล้องกับภารกิจในกรรมาธิการที่กำลังตรวจสอบอยู่ จากนี้จะนำไปพิจารณาศึกษาต่อและจะนำหลักฐานไปมอบให้กับนายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกกต.และกกต.ในวันพรุ่งนี้ (28มิ.ย.66) เวลา 10.00 น.และเร่งให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญก่อนที่จะมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี

ส่วนเรื่องที่ดินที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายเสรี กล่าวว่าเป็นทรัพย์มรดก ดังนั้นการจัดการทรัพย์มรดกจะต้องแสดงให้เห็นว่ามีวิธีการจัดการในช่วงไหนอย่างไร เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าหุ้นได้มีการจัดการไปแล้วด้วยหรือไม่ ถ้าทรัพย์มรดกอื่นๆมีการจัดการแบ่งไปแล้ว ก็จะเกิดคำถามว่าทำไมหุ้นสื่อถึงยังไม่จัดการ จุดนี้จะชี้ให้เห็นว่าวิธีการจัดการทรัพย์มรดกได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง

นายเสรี ยืนยันว่าการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีจะยึดมาตราฐานเดิมไม่ได้ เพราะสถานการณ์แตกต่างกัน สิ่งที่ต้องพิจารณาก็คือคุณสมบัติ ความเหมาะสมตามข้อเท็จจริง ซึ่งยืนยันมาตลอดว่า หากมีความพยายามแก้ไขมาตรา 112 ก็ไม่เหมือนกับปี 62 เพราะตอนนั้นไม่มีพรรคไหนมีพฤติกรรมที่จะแก้ไขมาตรา 112 ดังนั้นจะอ้างมาตรฐานปี 62 มาใช้กับตอนนี้ไม่ได้ เป็นความเหมาะสมที่สมาชิกวุฒิสภาจะนำมาประกอบการพิจารณาตัดสินใจเลือกนายกฯ 

สำหรับ กรณีที่นายพิธา มั่นใจว่าจะมีเสียงส.ว.สนับสนุนมากพอให้เป็นนายกรัฐมนตรี นายเสรี ยิ้มพร้อมตอบว่า “ถ้ามากพอก็เป็นไปเลย”และอย่างที่ปรากฏอยู่ในข่าวว่ามี ส.ว.17 คน สนับสนุนนายพิธา แต่ก็มีหลายคนในจำนวนนี้ออกมาปฏิเสธว่าถูกนำชื่อไปใส่โดยไม่ได้ไปเสนอแนวทางอย่างนั้นเช่น นายตวง อันทะไชย , นายแพทย์เจตน์ ศิรธรานนท์ , แพทย์หญิง คุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์ และนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์  เป็นต้น เพียงแต่ระบุว่าหากได้เสียงข้างมากก็จะโหวตให้ แต่ถ้าได้เสียงข้างมากแล้วยังคงแก้มาตรา 112 อยู่ก็จะไม่โหวตให้ เพราะฉะนั้นจะเอาแนวทางเสียงชนะอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูความเหมาะสมด้วย 

“แม้ว่าจะได้คะแนนเสียงมาเป็นอันดับ 1 ได้มา 14 ล้านเสียง ไม่ใช่คะแนนเสียงส่วนใหญ่ของคนทั้งประเทศแต่มีข้อเรียกร้องว่าในเมื่อได้คะแนนมา 14 ล้านเสียง ทำไมไม่เลือกตามคะแนนเสียง ที่ได้คะแนนเสียงอันดับ 1 ไม่ทำตามเสียงประชาชน ชอบพูดกันบ่อย ต้องทำความเข้าใจว่าประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 50 ล้านเสียง มาใช้สิทธิ์ประมาณ 40 ล้านคน เลือกก้าวไกล 14 ล้าน แสดงว่า 14 ล้านเป็นเสียงข้างน้อย การที่เสียงข้างมากไม่เลือกนั่นคือสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ ไม่ได้แสดงว่าเราไม่ได้ไปขัดแย้ง กับเสียง 14 ล้านแต่เราทำตามเสียงข้างมากกว่าด้วยซ้ำไป “นายเสรี กล่าว

ทั้งนี้ หากนายพิธาไปต่อไม่ได้ ต้องเปลี่ยนเป็นแคนดิเดตของพรรคเพื่อไทยขึ้นมา ส.ว.จะสบายใจขึ้นหรือไม่ นายเสรี กล่าวว่าไม่ใช่ความสบายใจแต่ต้องให้ส.ส.ไปตกลงกันให้สบายใจ รวบรวมเสียงให้ได้แล้วส.ว.จะพิจารณาบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 

เมื่อถามย้ำว่าหากเป็นแคนดิเดตนายกจากพรรคเพื่อไทยจะมีภาษีดีขึ้นกว่านายพิธาหรือไม่ นายเสรี กล่าวว่า ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ว่าเป็นใคร ตอนนี้ยังรับรองใครไม่ได้ ต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมด้วย ทุกคน ต้องอยู่ในเกณฑ์เดียวกันจะยกเว้นใครไม่ได้

ขณะที่ นายสมชาย กล่าวว่า ในส่วนของคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนฯ ก็มีการรับเรื่อง และมอบให้ที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบ แต่เรื่องนี้ ได้มอบให้นายเสรีไปตรวจสอบแล้ว และมอบให้กรรมาธิการกิจการองค์กรศาลรัฐธรรมนูญ ในเรื่องข้อสงสัยเกี่ยวกับการเลือกตั้งครั้งนี้ที่มีปัญหาในหลายประเด็น ซึ่งการที่มายื่นร้องให้ส.ว.ยื่นตามมาตรา 82  คือ ส.ว. 1 ใน 5 โดยหลักเป็นเรื่องของส.ว.ด้วยกัน เว้นแต่ไปตีความว่าส.ว.เป็นหนึ่งในสมาชิกรัฐสภา ก็จะใช้ 1 ใน 10 ได้ แต่เชื่อว่าไม่น่าจะถึงขั้นนั้น ส่วนตัวเห็นว่า กกต.มีหน้าที่อยู่แล้วเรื่องนี้ไม่ยาก ซึ่งจะพิจารณาได้ว่านายพิธา ถือหุ้นสื่อหรือไม่ ซึ่งชัดอยู่แล้วไอทีวียังเป็นสื่ออยู่หรือไม่ ก็ตรวจสอบจากวัตถุประสงค์และการประกอบกิจการของบริษัท และคดีความที่อยู่ในศาลปกครอง รวมถึงคำร้องที่อยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ ถึง 4 คดีมาประกอบ ซึ่งชัดเจนว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองถือหุ้นสื่อเพียงหุ้นเดียวก็ไม่ได้ ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด

นายสมชาย มองว่าหากกกต.ยึดมาตรฐานเดิมที่ใช้พิจารณา คดีของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ก็สามารถส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ ส่วนศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยออกมาอย่างไรก็รับได้ 

อย่างไรก็ตาม กกต.สามารถดำเนินการได้ทำทันทีเนื่องจากมีคำร้องเดิม รวมกับที่ตั้ง กรรมการไต่สวนตามมาตรา 151 แล้วส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อนายพิธา หากไม่ถือหุ้นสื่อก็จบ และได้นายกรัฐมนตรีที่ไม่ขาดคุณสมบัติ ไม่มีปัญหาเรื่องข้อกฎหมายต่อไป

นายสมชาย ยังย้ำด้วยว่า เมื่อส.ว.ต้องทำหน้าที่ร่วมโหวตนายกรัฐมนตรี ต้องนำประเด็นนโยบายของพรรคการเมืองนั้น มาพิจารณามาประกอบกับตัวบุคคล โดยเฉพาะนโยบายที่กระทบกับความมั่นคงของประเทศ แต่เมื่อเสนอมาแล้วคนที่มาจะเป็นนายกรัฐมนตรี และการจัดตั้งรัฐบาลควรต้องคำนึงถึงข้อกังวลของส.ว.โดยเฉพาะเรื่องความมั่นคงของประเทศด้วย

Message us