ม็อบยุติชุมนุมหน้าหอศิลปฯแล้วนัดใหม่ 19 ก.ค.สั่งเตรียมทุกอย่างให้พร้อม

เมื่อวันที่ 16 ก.ค. บริเวณพื้นที่ชุมนุมที่ลานหน้าหอศิลปและวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพฯ มีการอ่านแถลงการณ์ของทางกลุ่มผู้ชุมนุมที่นัดทำกิจกรรมคาร์ม็อบ “Respected My Vote” นำโดย นายอานนท์ นำภา ทนายความศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชน และแกนนำกลุ่มราษฎร โดยในเวลา 18.10 น.นายอานนท์ ขึ้นกล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า ตนรู้สึกไม่สบายใจในการโหวตนายกฯ เมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยเฉพาะ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ที่ถึงขนาดเสนอให้นำปืนมายิงคนต้องคดีมาตรา 112 แล้วไม่มีความผิด และกล่าวอ้างต่างๆ ที่ไม่เป็นความจริง การที่คนรุ่นใหม่ออกมาสู้ตั้งแต่ปี 2563 เพราะมีต้นทุนมาจากบรรพบุรุษของเราตั้งแต่อดีตกาล มาปี 2475 มาคนเดือนตุลาฯ มาพฤษภา 35 มาคนเสื้อแดง ทุกอย่างไม่ได้บังเอิญ เราสู้มาบาดเจ็บล้มตายและส่งคนของเราลงเลือกตั้ง กว่า 70 เปอร์เซ็นต์ที่เลือกฝ่ายประชาธิปไตยมา และ 14 ล้านเสียงที่เลือกพรรคก้าวไกลเข้ามา ที่ฝ่ายขวาตราหน้าว่าเป็นพรรคล้มเจ้า

ทั้งนี้ อย่าปล่อยให้คน 250 คน ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่มาจาก คสช.เป็นสมุนเผด็จการ อย่าปล่อยให้เขาใช้ข้ออ้างมาตรา 112 ที่เป็นกฎหมายธรรมดาในประมวลกฎหมายอาญามาเป็นข้ออ้างในการไม่รับรองนายกฯ ของเรา มาตรา 112 เป็นแค่ข้ออ้าง เพราะสิ่งที่เขากลัวจริงๆ คือ พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมฯ จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงสังคมเก่าเป็นสังคมใหม่ เขากลัวการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างต่างหาก ไม่ได้กลัว112 เพราะเขามีสิทธิ์พิจารณาในสภาฯแนวโน้มอาจไม่ผ่านก็ได้ เขากลัวก้าวไกลเป็นรัฐมนตรีศึกษาแล้วไปเปลี่ยนหลักสูตรล้างสมองลูกหลานเขา กลัวรังสิมันต์ โรม กลัววิโรจน์ ลักขณาอดิศร จะเข้าไปดูแลสำนักงานตำรวจฯ จะยกเลิกตั๋วช้าง กลัวจะเปลี่ยนโครงสร้างสภากลาโหม ไม่เอาเรือดำน้ำ เขากลัวพลเรือนไปเป็นใหญ่เหนือทหาร เขากลัวเราใช้สิทธิเสรีภาพเลือกผู้ว่าฯเป็นของตัวเอง

นายอานนท์ กล่าวด้วยว่า ที่สำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่มีส่วนในการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง ปี 2553 ตายเป็นร้อยศพ พวกเขากลัวพรรคก้าวไกลจะเอาพวกเขาติดคุก เราต้องทำให้สิ่งที่พวกเขากลัวเป็นจริง คือยืนเคียงข้าง และสนับสนุน 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตยทำสิ่งเหล่านี้ให้เป็นจริง ยืนยันว่าเราจะสู้ร่วมกันต่อไป ขอส่งเสียงไปยัง 8 พรรคร่วมฯ ห้ามแตกแถวเด็ดขาด พรรคไหนแตกแถวก่อนพรรคนั้นเป็นเผด็จการ

ต่อมาในเวลา 18.40 น.ตัวแทนกลุ่มผู้ชุมนุมได้อ่านแถลงการณ์ ระบุโดยสรุปว่า พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยชนะเลือกตั้งอย่างท่วมท้น 8 พรรรการเมือง รวมกันได้คะแนนสูงสุดกว่า 25 ล้านเสียง โดยพรรคก้าวไกล ในฐานะได้คะแนนอันดับ 1 เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลผสม รวมเสียงกันได้ถึง 312 เสียง และร่วมลงนามเอ็มโอยูจัดตั้งรัฐบาล ต่อมาในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีวันที่ 13 ก.ค.66 แต่ปรากฎว่า ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล รวมถึงสมาชิกวุฒิสภา ไม่เห็นชอบให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกฯ โดยให้เหตุไม่เห็นกับการแก้ไขมาตรา 112 และจะมีการลงมติโหวตเลือกอีกครั้งในวันที่ 19 ก.ค.นี้

“ในนามของประชาชนแนวร่วมฝ่ายประชาธิปไตย ขอเรียกร้องไปยังรัฐสภา และประชาชนทั้งประเทศ ดังนี้ 1.ขอประณามสมาชิกรัฐสภา โดยเฉพาะ ส.ว.ที่ไม่ลงมติไปตามฉันทามติของคนส่วนใหญ่ทั้งประเทศที่มุ่งให้ฝ่ายประชาธิปไตยจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ 2.ขอเรียกร้องให้ ส.ว.ที่ไม่ทำหน้าที่ลงมติเห็นชอบตามเสียงส่วนใหญ่ลาออกจากตำแหน่งทั้งหมด และให้รัฐสภาที่เหลืออยู่ทำการลงมติไปตามเสียงส่วนใหญ่ของคนทั้งประเทศ 3.ขอเรียกร้องให้ 8 พรรคร่วมฝ่ายประชาธิปไตยผนึกกำลังให้เหนียวแน่นให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน และ 4.ขอเรียกร้องให้ประชาชนทั่วประเทศออกมาต่อสู้กับแนวร่วมประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยจนกว่าจะบรรบุเป้าหมายเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์”

ด้าน นายธัชพงศ์ แกดำ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ได้แจ้งให้มวลชนเตรียมร่างกาย เตรียม ยานพาหนะ ทั้งรถยนต์ รถจักยานยนต์ให้พร้อม แล้วพบกันในวันที่ 19 ก.ค.นี้ พร้อมให้รอสัญญาณว่าจะมีเคลื่อนขบวนไปที่ไหน จากนั้นได้ประกาศยุติกิจกรรมการชุมนุมในเวลา 18.50 น.

Message us