
เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2566 เมื่อเวลา 13.00น. ที่กระทรวงมหาดไทย(มท.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ให้สัมภาษณ์หลังร่วมหารือกันเสร็จสิ้น ประมาณ1.30ชม.
โดยนายอนุทิน ตอบคำถาม จะมีวิธีแก้ไขปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียวอย่างไรว่า เราต้องให้ความเป็นธรรม ทำตามกฏหมายทุกอย่าง ถ้าสองเรื่องนี้มาบรรจบกันได้ ยินดีแก้ไขปัญหาให้ผ่านพ้นด้วยดี ทุกอย่างต้องถูกต้องตามกฏหมาย มีความชอบธรรม เป็นธรรมกับทุกฝ่าย
เมื่อถามว่า จะเป็นปัญหาหรือไม่ เพราะมีคำสั่ง ม.44 ค้างอยู่ นายอนุทิน กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาไม่ได้มาจาก ม.44 เพราะ ม.44 เป็นคำสั่งให้ทำอย่างไร้รอยต่อ ต้องดูปัญหาทั้งระบบถึงที่มาที่ไปเป็นอย่างไร ต้องหารือกับผู้ว่าฯกทม. ในสัปดาห์หน้า เร่งสะสางปัญหาโดยเร็ว ทุกอย่างให้เป็นไปตามกฎหมาย ถ้าตรงไหนผิดก็ต้องว่าไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย ขณะเดียวกันถ้ามีปัญหาต้องหาทางออกด้วย
“ถ้ามีปัญหามากผู้ที่ได้รับผลกระทบคือชาวกรุงเทพฯ จะปล่อยให้ประชาชนเดือดร้อนไม่ได้ ยืนยันทุกอย่างต้องมีทางออก ต้องใช้ข้อมูลทุกอย่างที่มี โดยเราจะร่วมแก้ปัญหาไม่ใช่ร่วมกันเพิ่มปัญหา จะไปปราบปรามหรือทำอะไรใคร ต้องทำให้เกิดประโยชน์มากที่สุด” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ในคำสั่ง ม.44 ยังมีเรื่องของคณะกรรมการเจรจาตรงนี้จะล้มไป หรือนับหนึ่งใหม่ในชุดใหม่ นายอนุทิน เผยว่า ขอหารือในรายละเอียด เรายังไม่ถึงตรงนั้นดูเพียงพื้นฐานที่ดำเนินมาถึงปัจจุบันนี้ ว่าทำไมมีปัญหา สืบทอดยาวนานมาถึงขณะนี้ ยกตัวอย่าง สมัยที่ตนกำกับดูแลกระทรวงคมนาคม เราแสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี แต่ถ้า เรื่องนี้จะผ่านในเวลานั้นก็ผ่านได้ เพราะองค์ประชุมครบ แต่เมื่อไม่ผ่าน ก็ต้องไปดูว่าปัญหาที่แท้จริงคืออะไร
เมื่อถามว่า ยืนยันจุดยืนจะต่อสัมปทานออกไปหรือไม่ หรือจะใช้วิธีการประมูล นายอนุทิน กล่าวว่า ทางที่ดีที่สุดคือทำตามสัญญาสัมปทานที่มีอยู่ภายใน 5 ปีถึงจะคุยเรื่องนี้ได้ แต่เรื่องนี้เกิดที่ตนจะมาเปผ้น รมว.มหาดไทย และก่อนนายชัชชาติ จะเป็นผู้ว่าฯกทม. ซึ่งต้องกลับไปดูย้อนหลัง
หากเวลานี้ให้ยึดสัมปทานที่จะหมดในปี 2572 ก่อน โดยยังไม่พูดถึงการขยายเวลาใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ตรงนั้นยังมีช่องทาง ส่วนเรื่องความเสียหายการเดินรถส่วนต่อขยาย ถ้าถูกต้องและเขาให้บริการประชาชนเกิด ประโยชน์อย่างแท้จริงก็ต้องมาดูจะไปเอาเปรียบไม่ได้ โดยงบประมาณที่จะดำเนินการต้องมาจาก ครม. พิจารณาให้ความเห็นชอบ ทั้งนี้ตนอยากให้เรื่องจบที่ กทม.
ด้านนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ให้สัมภาษณ์ ว่า วันนี้ได้คุยกันหลายเรื่อง และได้มาแสดงความยินดีกับท่านรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็เป็นหนึ่งในคณะทำงานด้วย ที่ต่อเนื่องจากคณะทำงานของนายกฯ ที่หารือเมื่อวานนี้ (18 ก.ย.) และ กทม. กับกระทรวงมหาดไทย ก็มีหลายเรื่องที่ต้องประสานงานกัน และหนึ่งในนั้นคือเรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียว เป็นเรื่องสำคัญซึ่งจะต้องมีการตั้งคณะกรรมการชุดเล็ก ที่มีรายละเอียดจำนวนมาก ซึ่งทางกระทรวงมหาดไทย ก็มีข้อมูลมากพอสมควร และในสัปดาห์หน้าก็จะมาพูดคุยถึงรายละเอียดกันอีกครั้ง
เมื่อถามถึงประเด็นการแก้ไขปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียว กทม. จะแก้ไขอย่างไร นายชัชชาติ ระบุว่า ทุกอย่างต้องมีทางออก และพูดคุยกันด้วยหลักการและเหตุผล ไม่น่าจะมีอะไร ทางรองนายกรัฐมนตรีมีข้อมูลที่ละเอียดกว่าตนด้วยซ้ำ สัปดาห์หน้าคงจะได้มีโอกาสกลับมาหารือในรายละเอียดอีกครั้ง
เมื่อถามว่า คิดว่าโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวจะมีทางออกร่วมกันได้หรือไม่ นายชัชชาติ กล่าวว่า ทุกอย่างต้องมีทางออก ถ้ามาคุยกันด้วยหลักการและเหตุผลก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร และนายอนุทินก็มีข้อมูลละเอียด อาจจะมีมากกว่าที่ กทม.มีเสียด้วยซ้ำ สัปดาห์หน้าคงมีการมาหารือรายละเอียดกันอีกครั้งหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดว่ากระทรวงมหาดไทยในยุคนี้ จะขับเคลื่อนงานได้ง่ายกว่าในยุคที่แล้วหรือไม่ นายชัชชาติ หัวเราะ พร้อมกล่าวว่า “ผมคิดว่าก็ดีทุกยุค แต่เผอิญเราเป็นเพื่อนกัน รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก และทำงานร่วมกันได้ ผมคิดว่าก็เป็นแนวเดียวกัน และยังเป็นแนวเดียวกับนายกรัฐมนตรีด้วย ที่ท่านไวและตัดสินใจรวดเร็ว มาเจอกันแป๊บเดียว ผมก็ได้เจอทั้งนายกฯ และนายอนุทิน ก็คิดว่าจะเป็นการร่วมมือที่ดี”
นายชัชชาติ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ประสานขอความร่วมมือจากกระทรวงมหาดไทยที่จะต้องทำงานร่วมกัน เช่น การนำสายไฟฟ้าลงดิน เพราะการไฟฟ้านครหลวงเป็นเจ้าของเสาไฟฟ้า รวมถึงการเปลี่ยนเสาไฟฟ้าให้เป็นหลอดแอลอีดีทั้ง กทม.เพื่อประหยัดพลังงาน เนื่องจากปัจจุบันการไฟฟ้านครหลวงเป็นผู้จ่าย แต่ กทม.ไม่ได้จ่าย ซึ่งหากมีการเปลี่ยนเป็นหลอดแอลอีดี ก็จะช่วยลดโลกร้อน และลดค่าใช้จ่ายของการไฟฟ้านครหลวงด้วย
และยังมีการหารือขอความร่วมมือจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ที่จะต้องมีการทำงานกับ กทม.อย่างไร้รอยต่อ รวมถึงยังมีการทำงานร่วมกันในเรื่องการกำจัดขยะ การแก้ปัญหาน้ำเสีย ซึ่งเป็นอำนาจของกระทรวงมหาดไทย รวมถึงการใช้แอปพลิเคชัน “ทราฟฟี่ ฟองดูว์” เพื่อแจ้งเหตุความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งได้ผลมาก เผื่อกระทรวงมหาดไทยจะนำไปใช้ ซึ่งปัจจุบันกระทรวงมหาดไทยใช้ไปแล้วใน 15 จังหวัด หากขยายให้ใช้ทั้งประเทศได้ก็จะมีประโยชน์ ถ้าเชื่อมโยงกับ กทม. ก็จะแก้ปัญหาข้างเคียงได้ เพื่อจะทำให้การแก้ปัญหาไร้รอยต่อง่ายขึ้น ถือเป็นการคุยที่ดี เพื่อประโยชน์ประชาชน