วุฒิสภาลงมติท่วมท้นคืนชีพใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้นผ่านประชามติรธน.

เมื่อวันที่ 30 กันยายน ในการประชุมวุฒิสภา ที่มีนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้พิจารณา ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการรออกเสียงประชามติ (ฉบับที่…) พ.ศ… ซึ่งคณะกรรมาธิการ(กมธ.) วิสามัญ ที่มี พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สว.เป็นประธานกมธ.พิจารณาเสร็จแล้ว โดยรายงานของกมธ. พบการแก้ไขเนื้อหา เพียงมาตราเดียว คือ มาตรา 7 แก้ไขมาตรา 13 ว่าด้วยหลักเกณฑ์การผ่านประชามติ ที่ให้เติมความวรรคสอง กำหนดให้ การออกเสียงที่จะถือว่า มีข้อยุติในการจัดทำประชามติ มาตรา  9 (1) หรือ (2) เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ต้องมีผู้มาใช้สิทธิออกเสียงเป็นจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง และมีจำนวนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิออกเสียงในเรื่องที่จัดทำประชามตินั้น

ทั้งนี้ ในการประชุม พบกมธ.เสียงข้างน้อย ได้สงวนความเห็น และอภิปรายขอให้กลับไปใช้เนื้อหาเดิมที่สภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบ โดย น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. ในฐานะกมธ.เสียงข้างน้อย อภิปรายว่า การกลับมติของ กมธ. ในวันที่ 25 กันยายน ทั้งที่ก่อนหน้านั้นกมธ.ได้ลงมติในทิศททางเดียวกัน และปฏิเสธคำแปรญัตติของนายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สว. ที่เสนอให้ใช้หลักเกณฑ์เสียงข้างมากสองชั้นในเรื่องรัฐธรรมนูญ การกลับลำดังกล่าว เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีใบสั่ง เพราะเมื่อวันที่ 24 กันยายน มีหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลแสดงความไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การลงมติของกมธ. ด้วย 17 เสียง ต่อ 1 เสียง นั้่นไม่งาม

“ขอสว.อย่าความจำสั้น เพราะการลงมติวาระแรก มีผู้ลงมติรับหลักการ 179 เสียง รัฐธรรมนูญที่มีปัญหา ทำให้การเมืองไร้เสถียรภาพ มีปัญหาเศรษฐกิจ ดังนั้นขอให้กฎหมายประชามติเป็นก้อนหินก้อนแรก เพื่อสร้างถนนประชาธิปไตย” น.ส.นันทนา กล่าว

ขณะที่ นายนิกร จำนง กมธ.เสียงข้างน้อยในสัดส่วนของคณะรัฐมนตรี (ครม.) อภิปรายว่า ไม่เห็นด้วยกับกมธ.เสียงข้างมาก เนื่องจากการศึกษาของคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญ ที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.กลาโหม เป็นประธาน และตนทำงานในคณะดังกล่าวพบว่า เกณฑ์ออกเสียงประชามติด้วยเสียงข้างมาก 2 ชั้น เป็นอุปสรรคที่ทำให้ประชามติผ่านยาก จึงเสนอให้แก้ไขให้ใช้เสียงข้างมากชั้นเดียว ซึ่งเป็นฉบับที่เสนอให้วุฒิสภาพิจารณา

นายนิกร กล่าวว่าหาก สว. เห็นด้วยกับกมธ.เสียงข้างมาก ต้องส่งกลับไปสภาฯ เชื่อว่าสภาฯ จะยืนยันตามร่างของตนเองเพราะได้ลงมติเห็นชอบเป็นเอกฉันท์  ดังนั้นสิ่งที่ตามมา คือ ตั้งกมธ.ร่วมกันฝ่ายละ 10 คน หากตกลงไม่ได้ไม่มีข้อสรุป และส่งไปยังแต่ละสภา พิจารณา หากสภาใดสภาหนึ่งไม่เห็นชอบ ต้องถูกแขวนไว้ 180 วัน จากนั้นสภาฯ ถึงจะลงมติ ซึ่งจะใช้ร่างของสภาฯ ไม่ผ่านวุฒิสภา สิ่งที่จะกระทบคือ รัฐธรรมนูญของประชาชนจะเกิดไม่ทันในรัฐสภาชุดนี้แน่นอน เพราะมีเวลาไม่ถึง 3 ปี แล้วใครจะรับผิดชอบต่อกรณีที่เกิดขึ้น จะไม่มีรัฐธรรมนูญของประชาชน ตามที่คณะกรรมการฯ เล็งกันไว้ คือ ทำประชามติพร้อมกับการเลือกตั้งท้องถิ่น วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568 หากไม่ทันจะเพิ่มค่าใช้จ่าย  ตนตั้งความหวังไว้ ตนอยากให้สว.เห็นด้วยกับร่างของสภาฯ ไม่เช่นนั้นจะสุ่มเสี่ยงถูกโทษว่า รั้งรัฐธรรมนูของประชาชนไว้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ใสนส่วนของการอภิปรายของ สว. ต่อที่ประชุมในมาตราดังกล่าว พบว่า มีทั้งผู้ที่สนับสนุน และคัดค้านกับการแก้ไขของกมธ.เสียงข้างมาก โดย นายพิสิษฐ์  อภิปรายว่า ตนเสนอคำแปรญัตติให้กมธ.พิจารณาแก้ไข เพราะไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขให้มีเสียงข้างมากเพียงชั้นเดียว ที่ระบุว่าไม่แก้กลัวว่าประชามติไม่ผ่านนั้น หากเปรียบเทียบกับการทำประชามติรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2550 และ 2560 พบว่า ผู้ออกมาใช้สิทธิและคะแนนเสียงต่างผ่านเกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้นทั้งสิ้น ดังนั้นอย่ามาอ้างว่า หลักการดังกล่าวจะทำให้การทำประชามติเป็นไปได้ยาก ส่วนที่ระบุเหตุผลว่า กลัวไม่ทันกับการเลือกตั้ง อบจ. กุมภาพันธ์ 2568  ตนมองว่าสามารถใช้พ.ร.บ.ประชามติฉบับปัจจุบันได้

“การแก้รัฐธรรมนูญปัจจุบันมีแต่เรื่องแก้จริยธรรมนักการเมือง แต่ไม่มีประเด็นเรื่องแก้เพื่อประชาชนทั้งที่บอกว่ารัฐธรรมนูญมีปัญหาเคยมีประชาชนเดินมาบอกหรือไม่ว่ารัฐธรรมนูญมีปัญหาตรงไหน ผมเชื่อว่ารัฐธรรมนูญนี้มีปัญหากับพรรคและนักการเมืองมากกว่า” นายพิสิษฐ์ อภิปราย

ขณะที่ นายสิทธิกร ธงยศ สว. อภิปรายว่า ตนเห็นว่าการแก้ไขเรื่องเกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้นของกมธ.นั้นชอบธรรมและถูกต้อง และขอชื่อชม เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งที่ตามมาจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การแก้ไขเกณฑ์ข้างมาก 2 ชั้น ไม่เป็นปัญหา หากได้ 3 ชั้นยิ่งดี  อย่างไรก็ดีความพยายามให้การออกเสียงประชามติเป็นวันเดียวกับวันเลือกตั้งนายก อบจ. นั้น เป็นเรื่องไม่ชอบมาพากล เพราะขณะนี้มีพรรคการเมืองใหญ่เปิดตัว ผู้สมัครนายก อบจ.แล้ว 70-80% ดังนั้น หากสว.ผ่านให้ทำประชามติวันดังกล่าว จะกลายเป็นเครื่องมือของนักการเมืองทันที

ด้าน นพ.นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) อภิปรายเห็นด้วยกับร่างพ.ร.บ.ของสภาฯ ว่า วันนี้ความขัดแย้งเรื่องรัฐธรรมนูญยังมีอยู่ ดังนั้นจะต้องถอดสลักความขัดแย้ง ตั้งแต่เบื้องต้นนั่นคือร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ คือต้องให้ประชาชนออกมาออกมาลงประชามติอย่างเป็นอิสระไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องเสียงบประมาณกว่า 3,000 พันล้าน ดังนั้นการที่กมธ.ผ่านร่างพ.ร.บ.เสียงเป็นเอกฉัน คือเห็นว่าควรออกเสียงลงมติเพียงครั้งเดียว แต่สงสัยทำไมมาเปลี่ยนเป็นออกเสียง 2 ชั้นในภายหลังจากสว.ทำให้ประชาชนสงสัยว่าเป็นเพราะอะไรถึงต้องเปลี่ยน

นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้วุฒิสภามีการรับร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้จากสภาฯด้วยเสียงท่วมท้น ยังแอบดีใจว่าความขัดแย้งในสังคมไทยเรื่องรัฐธรรมนูญที่เคยมีจะหาทางออกได้ อย่างไม่ต้องเกิดวิกฤตหรือลงท้องถนน แต่หากเรื่องนี้ลงเอยด้วยการส่งเรื่องตีกลับไปยังสภาผู้แทนราษฎรแล้วตั้งคณะกรรมาธิการร่วม จะไม่ทันต่อปัญหาที่อาจจะเกิดจากวิกฤตรัฐธรรมนูญ

“รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายใหญ่ เป็นศักดิ์สูงสุดแต่ต้องแก้ได้ ขณะเดียวกันจะต้องไม่แก้เรื่องสถาบันสูงสุดก็ไม่แก้เรื่องกลไกการปราบปรามทุจริตคอรัปชันถือเป็นหัวใจของรัฐธรรมนูญปี 60 ผมแสดงจุดยืนชัดเจนว่าต้องไม่แตะมาตรา 112 ต้องไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 และกลไกในการปราบปรามทุจริตที่รัฐธรรมนูญวางหลักการไม่ดีแล้ว แต่เรื่องอื่นๆ เมื่อเป็นกฎหมายต้องแก้ได้ เพราะบ้านเมืองเรามีกาเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง กฎหมายก็ต้องแก้ไขได้ เพื่อไม่ให้เกิดวิกฤต วิกฤตปี 26 ปี 35 เกิดความสูญเสียก่อนแล้วถึงจะแก้ไขได้ ผมไม่อยากได้ยินคำว่าคนไทยไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา เพราะถ้าเกิดความสูญเสียขึ้นแล้ว จะเป็นบันทึกที่เป็นรอยด่างทางประวัติศาสตร์”นพ.เปรมศักดิ์กล่าว

นพ.เปรมศักดิ์กล่าวว่า ตนไม่อยากให้เกิดชนวนความขัดแย้ง ขอให้พ.ร.บ.ฉบับนี้ เป็นไปโดยธรรมชาติถ้าลงมติ 2 ชั้น จะทำให้เกิดการสูญเสียงบประมาณจำนวนมาก และผิดวินัย ที่คนไทยจะเจรจากันได้ด้วยสันติวิธี จึงขอกราบเรียนประธานสภาฯว่า เราต้องป้องกันวิกฤตรัฐธรรมนูญด้วยการผ่านกฎหมายการลงประชามติ และรัฐธรรมนูญแบบที่สส.เสนอมาถูกต้องแล้วและเป็นหลักการที่น่าชื่นชม ที่พรรคการเมืองตกลงกันได้ด้วยสันติวิธี ประเทศไทยหมดเวลาแล้วที่จะเผชิญหน้า หมดเวลาที่จะสูญเสียซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าเกิดปัญหาแล้วจะหาว่าไม่เตือน

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ที่ประชุมอภิปรายแล้วเสร็จ ได้มีการลงมติ ผลปรากฎว่า เสียงข้างมาก เห็นชอบด้วยกับการแก้ไขของ กมธ.เสียงข้างมาก 164 เสียง ไม่เห็นด้วย 21 เสียง และ งดออกเสียง 9 เสียง

จากนั้นที่ประชุมได้พิจารณาเรียงลำดับมาตราที่เหลือและสรุปทั้งฉบับ ก่อนลงมติในวาระสามว่า จะเห็นชอบด้วยทั้งฉบับหรือไม่ ผลปรากฎว่า เสียงข้างมาก  167 เห็นชอบกับการแก้ไขเพิ่มเติม ต่อ 19 เสียง งดออกเสียง 7 เสียง และเห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ จากนั้น จะส่งให้คณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณาต่อไป

Message us