“พิธา”เดินหน้า 6 วาระก้าวไกลเปลี่ยนระเบิดเวลาเป็นศักยภาพของประเทศ


เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ที่ไบเทค บางนา พรรคก้าวไกล จัดมหกรรมนโยบาย Policy Fest ครั้งที่ 1 “ก้าวไกล Big Bang” โดยช่วงเช้า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ปาฐกถาเป็นคนแรกหัวข้อ Why 6 Big Bang กล่าวว่า พรรคก้าวไกลจัดงาน Policy Fest เพราะเราอยากเห็นการเมืองเป็นเรื่องสนุก การมีนโยบายและ festival อยู่ในคำเดียวกัน คือการทำให้การเมืองเป็นเรื่องสนุกและเป็นเรื่องของทุกคน ส่วนที่มี 6 บิ๊กแบงซึ่งเป็นธีมของงาน เพราะเราต้องการเป็นฝ่ายค้านเชิงรุกที่มีวาระเป็นของตัวเอง ในขณะที่จนถึงวันนี้ตนยังฟังไม่ออกว่ารัฐบาลมีวาระอะไรในการเข้ามาเป็นรัฐบาลของประชาชน

“วันนี้เป็นการพิสูจน์ว่าพรรคก้าวไกลไม่เหมือนพรรคการเมืองอื่น เรามีวาระทางการเมือง 6 อย่างด้วยกันที่หากปล่อยทิ้งไว้จะกลายเป็นระเบิดเวลาของประเทศ แต่ถ้าเราทำการเมืองให้เป็นเรื่องสนุกและเป็นเรื่องที่ทุกคนมีส่วนร่วม เราจะเปลี่ยนระเบิดเวลา 6 ลูกนี้ให้กลายเป็นศักยภาพของประเทศไทยได้” นายพิธากล่าว

นายพิธา กล่าวว่า เดือนพฤษภาคมของประเทศไทย เป็นเดือนที่มีความรู้สึกปนเปหลายอย่าง บางช่วงเป็นพฤษภาแห่งความกลัว ไม่ว่าจะเป็นพฤษภา 35, พฤษภา 53 หรือพฤษภาอัปยศในการรัฐประหารของ คสช. เมื่อปี 57 ไม่ว่าท่านจะเลือกหรือไม่เลือกพรรคก้าวไกล ทุกคนต้องยอมรับว่าช่วงเวลาเหล่านั้นคือทศวรรษที่สูญหาย แต่ขณะเดียวกันก็มีพฤษภาแห่งความหวัง เมื่อ 14 พฤษภาคม 2566 เป็นการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ที่ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์ใช้เสียงเข้าคูหา อยากเห็นการเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต เป็นการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ที่ประชาชนออกมามีส่วนร่วมมากที่สุด และประชาชนอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง

“อย่างไรก็ตาม แต่”จากพฤษภาแห่งความกลัว กลายเป็นพฤษภาแห่งความหวัง กลับมาเป็นพฤษภาแห่งความกลัวและความเศร้าโศกอีกครั้งในวันนี้ได้อย่างไร 14 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา คุณเนติพร เสน่ห์สังคม หรือ “บุ้ง” เสียชีวิตหลังจากก่อนหน้านี้อดอาหารประท้วงเพื่อสิทธิในการได้รับประกันตัว เพื่อหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ซึ่งตนและพรรคก้าวไกลยืนยันว่าในประเทศไทยไม่ควรมีใครต้องติดคุกเพราะมีความเห็นทางการเมืองไม่ตรงกับที่รัฐอยากเห็น”นายพิธากล่าว

ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกลกล่าวว่า กาก้าวไกลประเทศไทยไม่เหมือนเดิม การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต นี่คือสโลแกนที่ทำให้พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้ง แต่ตนต้องถามประชาชนว่า 1 ปีที่ผ่านมา เรามีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ประเทศไทยเปลี่ยนไปจริงหรือไม่ “การเมืองดี” ขึ้นบ้างหรือไม่ หากตอบว่าไม่ดีขึ้น ท่านไม่ได้คิดไปเอง จากข้อมูลตัวเลขใน 1 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นดัชนีวัดความสามารถและผลสำเร็จของรัฐบาล ดัชนีคอร์รัปชัน หรือดัชนีความเป็นประชาธิปไตย อันดับของไทยล้วนตกลงทั้งสิ้น

สำหรับ “ปากท้องดี” ก็ขอถามเช่นกันว่า 1 ปีที่ผ่านมา ปัญหาปากท้องของประชาชนดีขึ้นหรือไม่ จากตัวเลขบอกเราว่าต่างชาติขายหุ้นไทยเกือบ 7 หมื่นล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2567 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมตกลง 5% ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคตกลงเกือบ 3% นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยระดับกลางและระดับบน ไม่ต้องพูดถึงคนทำงานหาเช้ากินค่ำ พวกเขาลำบากมาโดยตลอด
และ 1 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทย “มีอนาคต” ขึ้นหรือไม่ เราต้องดูที่การศึกษา อันดับความสามารถด้านภาษาอังกฤษของคนไทยยังคงตกลง รั้งท้ายอาเซียน หรือที่รัฐบาลจะให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของ Digital Nomad ชวนคนมาลงทุนและท่องเที่ยว แต่เมื่อดูปัญหาฝุ่นของไทยยังรุนแรง เมื่อเทียบเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ของปีนี้กับปีที่แล้ว จำนวนผู้ป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังผลกระทบสุขภาพจากมลพิษทางอากาศเพิ่มขึ้น แบบนี้จะดึงดูดคนมาได้อย่างไร แค่สิทธิในการมีลมหายใจ รัฐบาลยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ทั้งที่เป็นเรื่องพื้นฐานของประเทศที่ต้องการมีอนาคต

นายพิธา กล่าวว่า ทั้งหมดคือสาเหตุที่พรรคก้าวไกลต้องจัด Policy Fest 6 บิ๊กแบงเพื่อให้พฤษภาคมปีนี้เป็นเดือนที่กลับมามีความหวัง โดยสมการของความหวัง ตนได้รับแรงบันดาลใจ และหยิบยืมหลักคิดบางส่วนมาจาก “ลีเซียนลุง” อดีตนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ ต้องประกอบด้วย 3 อย่าง คือ 1.ต้องมีผู้นำที่เข้มแข็ง มีวิสัยทัศน์ (Strong Leadership) 2.ประชาชนที่พร้อมแข่งขัน (Capable Citizen) ซึ่งเกิดจากการที่รัฐบาลลงทุนในการศึกษา สวัสดิการ จนประชาชนมีความพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของประเทศได้ และสำคัญที่สุด 3.ความเชื่อใจในกันและกันระหว่างรัฐบาลกับประชาชน (Trust between Leaders & Citizens) ถ้าประเทศใดมี 3 องค์ประกอบนี้ ประเทศนั้นจะมีความหวังเสมอไม่ว่าเจออุปสรรคท้าทายแค่ไหน

อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกลกล่าวว่า ยอมรับว่าพรรคก้าวไกลยังไม่ใช่พรรคที่สมบูรณ์แบบ ยังมีเรื่องต้องพัฒนาอีกมาก แต่อย่างน้อยเราพยายามอย่างเต็มที่ ซื่อสัตย์กับประชาชน ตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์กับตัวเอง และทำงานอย่างเต็มที่ สะสมประสบการณ์ในสภาฯ และสะสมประสบการณ์การทำงานร่วมกับฝ่ายต่างๆ ซึ่งเราเชื่อว่าในระบบประชาธิปไตย ฝ่ายค้านเชิงรุกที่ทำงานอย่างเข้มแข็งก็สามารถสร้างความหวังให้พี่น้องประชาชนได้ เรามีวาระเป็นของตัวเอง ที่ประชาชนเข้ามาแสดงความเห็นได้ว่าท่านเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เข้ามามีส่วนร่วมกับเราได้ สามารถขอความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชน ซึ่งเรามั่นใจว่าเราจะได้ความไว้วางใจมากขึ้นในการเลือกตั้งครั้งหน. โดยวาระของพรรคก้าวไกลที่ต้องการขับเคลื่อน มี 6 หัวข้อต่อไปนี้ แบ่งเป็น “วาระเฉพาะหน้า” และ “วาระเฉพาะกาล” สำหรับ “วาระเฉพาะหน้า”ประกอบด้วย เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีคุณภาพ เรียนรู้ทันโลก ยกระดับคุณภาพชีวิต นี่คือเรื่องที่ทุกพรรคการเมืองพูด แต่ “วาระเฉพาะกาล” คือเรื่องที่ต้องการความกล้าหาญทางการเมืองในการแก้ไข ประกอบด้วย ปลดล็อกชนบทไทย ปฏิรูปรัฐครั้งใหญ่ และ ประชาธิปไตยเต็มใบ หากเราไม่จัดการวาระเฉพาะกาล เราจะแก้วาระเฉพาะหน้าไม่ได้

“นี่คือการเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง เอาปัญหาของประเทศเป็นที่ตั้ง แล้วเรียงลำดับความสำคัญ ต้องทำแบบบิ๊กแบง ทำพร้อมๆ กันเท่านั้น ประเทศไทยจึงจะเปลี่ยน ประเทศไทยจึงจะมีอนาคต” นายพิธากล่าวทิ้งท้าย

สำหรับ บรรยากาศงาน Policy Fest มีประชาชนมาร่วมงานอย่างคึกคักตั้งแต่เช้า ให้ความสนใจและมีส่วนร่วมกับกิจกรรมในแต่ละบูธ พบปะ สส. พรรคก้าวไกลอย่างใกล้ชิดเป็นกันเอง โดย 6 บูธ ประกอบด้วย เรือนจำเผด็จการ, สมาร์ทฟาร์มวัลเลย์, ประชาบุรี, การศึกษาโลกคู่ขนาน, ก้าวไกลมินิมาร์ท และคุณภาพชีวิตโลกที่สาม ทั้งนี้กิจกรรมจัดตลอดวันตั้งแต่ 8.00 – 18.00 น.

Message us