พบโครงกระดูกมนุษย์โบราณก่อนประวัติศาสตร์ยุคเหล็กอายุราว 2,500 ปี

เมื่อวันที่ 21 มีนาคม นายดุสิต ทุมมากร ผู้อำนวยการกลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 8 จ.ขอนแก่น สำนักโบราณคดี  จากกรมศิลปากร ลงพื้นที่ตรวจสอบโครงมนุษย์ที่ชาวบ้านพบในที่นาของ น.ส.ณัฐฐกาณฑ์ คำชมภู หรือวิ อายุ 52 ปี อยู่บ้านเลขที่ 332 ม.1 บ.แวงน้อย ต.แวงน้อย อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น ทันทีที่เจ้าหน้าที่ศิลปากรที่ 8 ขอนแก่นลงพื้นที่ก็ได้ทำการสำรวจความสมบูรณ์ของโครงกระดูกมนุษย์  โดยได้ทำการวัดโครงร่างของกระดูกพบว่ายาว 2 เมตร ยังมีฟันล่างและฟันบนที่สมบูรณ์  นอกจากนี้ยังทำการแยกวัตถุโบราณที่แตกเป็นชิ้นส่วน ที่มีทั้งหม้อ กระเบื้องและเครื่องมือ รวมถึงเศษกระดูกสัตว์ เพื่อนำเก็บไปรักษาที่ สำนักงานศิลปากรที่ 8 ขอนแก่น

นายดุสิต กล่าวว่า จากการสอบถามเจ้าของพื้นที่นาทราบว่า มีทั้งหมดจำนวน 12 ไร่ 2 งาน แต่ในพื้นที่ที่พบโครงกระดูกนั้นมีพื้นที่ประมาณหนึ่งไร่ ส่วนโครงกระดูกที่พบเป็นโครงกระดูกมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ยุคเหล็กอายุประมาณ 1,500-2,500 ปี และพบเศษเครื่องปั้นดินเป็นหม้อดินมีลายเชือกทาบ และหินดุที่ใช้สำหรับทำเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งไม่ได้หนาแน่นมาก แสดงว่าการปรับไถดินครั้งนี้อาจจะยังไม่ถึงระดับที่เจอวัตถุโบราณมากแต่ถ้าขุดลงไปอาจจะเจออีก

“ตอนนี้ต้องขอความร่วมมือจากเจ้าของที่นาว่าให้พอแล้วสำหรับการปรับไถเพื่อจะรักษามรดกทางศิลปะวัฒนะธรรมของชาติที่สำคัญอันนี้ไว้ให้ลูกหลานได้ศึกษาต่อไป เพราะตรงนี้เป็นเนินดินขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 500 เมตรแต่บางส่วนบริเวณชายเนินถูกปรับเป็นที่นาไปแล้วเหลือแต่ยอดเนินซึ่ง ทางเจ้าของที่ดินก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทั้งทางราชการ กำลังงับการปรับไถให้พอเท่านี้ก่อน”นายดุสิตกล่าว

ผู้อำนวยการกลุ่มโบราณคดี กล่าวอีกว่า พื้นที่ตรงนี้เคยเป็นชุมชนโบราณเป็นบ้านเมืองโบราณของบรรพชนคนไทยที่อาศัยอยู่ตรงนี้เมื่อประมาณ 1,500-2,500 ปีมาแล้วในสมัยที่เราเรียกว่ายุคกรีกในช่วงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ส่วนโครงกระดูกที่พบนั้น ยังตอบไม่ได้ว่าเพศหญิงหรือเพศชาย เพราะโครงกระดูกค่อนข้างชำรุดมาก อาจเพราะกาลเวลาหรือมีการชำรุดมาจากอดีตไม่ใช่การชำรุดจากการค้นพบ อาจถูกแรงกดของแผ่นดินทำให้แบนมากโครงกระดูกผุมากต้องขอเวลาวิเคราะห์

ขณะที่ น.ส.ณัฐฐกาณฑ์ กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่สำนักศิลปากรที่ 8 ขอนแก่น กรมศิลปากร ลงพื้นที่มาตรวจสอบจนทราบว่า โครงกระดูกที่พบในที่นานั้น เป็นกระดูกของบรรพบุรุษของเรา  ก็จะดูแลรักษา และไม่ให้ใครเข้ามาขุดหรือทำลายให้เสียหาย และถ้ามีใครจะเข้ามาชมก็จะต้องแจ้งให้ทราบก่อน ส่วนการทำนานั้นก็ยังจะทำต่อไป  แต่การขุดเนินดินในบริเวณนานั้นจะหยุดไว้เพียงเท่านี้ และจะรักษาทรัพยสินบริเวณดังกล่าวให้ดีที่สุด

ด้าน นางทองคูน ถึกนอก อายุ 81 ปี ชาวบ้านแวงน้อย กล่าวว่า ตนเองเป็นลูกหลานที่บ้านนี้ตั้งแต่เกิด ได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับโนนสาวเอ้ หรือเนินดิน จุดที่ขุดพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณ คำว่านูนก็จะเป็นลักษณะเหมือนกับบริเวณนั้นเป็นหมู่บ้านเป็นที่สูงที่คนสมัยก่อนจะเลือกเป็นที่ตั้งของที่อยู่อาศัยเปรียบเหมือนหมู่บ้านในปัจจุบัน ซึ่งเรื่องเหล่านี้ตนเองได้ยินจากปากของพ่อตา ซึ่งพ่อตาก็เล่าสืบต่อกันมาจากพ่อของพ่อตาอีกที บอกว่าที่คนเรียกว่าโนนสาวเอ้นั้นเหตุผลเพราะจะมีผู้หญิงทั้งในหมู่บ้านและจากต่างหมู่บ้านจากโนนต่างๆมาแต่งตัวกันอยู่ที่บริเวณนี้รวมทั้งมาพักผ่อนหลับนอนซึ่งการแต่งตัวก็จะแต่งตัวให้ดูดีสามารถไปอวดเอ้ตามงานบุญ งานมหรสพรื่นเริงต่างๆที่อยู่ใกล้เคียงอีกหลายโนน 

“แต่โนนสาวเอ้นี้จะไม่มีงานบุญจะเป็นที่สำหรับแต่งตัวของสาวสาวโดยเฉพาะ  ต่างจากโนนอื่นที่มีงาน จนเป็นที่เล่าขานสืบต่อกันมาชั่วลูกชั่วหลานจนถึงปัจจุบัน หลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่มาตรวจสอบยืนยันว่าเป็นโครงกระดูกของมนุษย์บรรพบุรุษอายุหลายพันปี ว่ารู้สึกดีใจที่เป็นไปตามประสงค์ของบรรพบุรุษที่อยากจะขึ้นมาเพื่อให้ลูกหลานได้ทำบุญไปสู่สุคติและสิ่งที่อัศจรรย์คือเหมือนกับผีบรรพบุรุษนั้นรอคอยลูกหลานมาจึงจะยอมขึ้นมาให้เห็น “นางทองคูนกล่าว

นางทองคูน กล่าวว่า ที่ดินในบริเวณนี้ไม่มีใครสามารถซื้อได้จนนางวิมาติดต่อขอซื้อและสามารถซื้อสำเร็จไปได้ด้วยดีโดยไม่มีอุปสรรค หลังจากซื้อก็ไม่ได้กลับมาอยู่ที่ที่นาผืนนี้แต่ไปอยู่ที่ต่างประเทศใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศหลายปีก่อนจะกลับมาร่วมงานบวชลูกชาย และมาพบโครงกระดูกโบราณ ในบริเวณนี้มีร่างทรงเข้ามาทักนางวิว่าบรรพบุรุษของนางวิ เห็นลูกสาวกลับมาเมื่อผีบรรพบุรุษเห็น ก็อยากจะให้ลูกสาวนำขึ้นมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้และมาชี้จุด ที่ขุด ก็พบโครงกระดูกทันที ทำให้นางวิและชาวบ้านที่นี่เชื่อว่านางวิเป็นลูกสาวของบรรพบุรุษจริงๆที่รอคอยให้นางวิมาพาขึ้น และในช่วงที่รถแม็คโครมาขุดนั้นก็เกิดสิ่งอัศจรรย์คือมีอีกาสองตัวมาจับที่ขารถแม็คโครไม่ให้ทำงาน เพราะรถแม็คโครกำลังขุดบริเวณที่พบโครงกระดูกแต่พอเลื่อนไปขุดที่อื่น อีกาเหล่านั้นก็บินหายไป จึงยิ่งทำให้เชื่อว่านางวินั่นคือลูกสาวจริงๆของบรรพบุรุษที่จะพาโครงกระดูกขึ้นมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้

Message us