ปักหมุด”ปางช้างสุไหงบาลา”ปางช้างแรกใน 3 จังหวัดชายแดนใต้

นักท่องเที่ยวคึกคัดให้ความสนใจเข้าเยี่ยมชมช้างใน “ปางช้างสุไหงบาลา” จ.นราธิวาส ตื่นตาตื่นใจกับการได้สัมผัสช้างอย่างใกล้ชิด แม้แต่นักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย ก็ให้ความสนใจมาเที่ยวชมเป็นจำนวนมาก แม้จะเพิ่งเปิดให้บริการใหม่แค่ 2 อาทิตย์ แต่ยอดคนมาเที่ยวไม่ต่ำกว่า 500 คนต่อวัน ถือเป็นปางช้างแรกในพื้นที่ของ 3 จังหวัดชายแดนใต้ การเดินทางสะดวก ปลอดภัย ห่างจากตัวเมืองแค่ 10 กิโลเมตร

“ปางช้างสุไหงบาลา” เป็นทางผ่านไปยังจังหวัดอื่นๆ เพียงเสียเวลาสักนิดแวะมาเยี่ยมชม อุดหนุน คนในชุมชน สนับสนุนสินค้าในชุมชนที่มีอยู่ ให้มีรายได้กระจัดกระจายทั้งผู้ใหญ่และเด็กวัยรุ่นที่ไม่มีงานทำ ได้มาร่วมทำ สร้างความสามัคคี และเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับชุมชน เพื่อให้คนในพื้นที่อื่นได้รับรู้ สำหรับนักท่องเที่ยวหรือคนที่ชอบเที่ยวแบบธรรมชาติ ในอนาคตทุกช่วงเดือนฤดูกาลของผลไม้ ทุเรียน ลองกอง เงาะ มังคุด ชุมชนจะเพิ่มโปรโมชั่น กินแบบบุฟเฟ่ต์ผลไม้ กินสดที่ต้นในสวนปางช้างจะจัดช่วงเดือน สิงหาคม-ตุลาคม มาดูกันว่า “คนจะได้กินก่อนช้าง หรือช้างจะได้กินก่อนคน”

นอกจากนี้ การนั่งช้างเวียนรอบสวนผลไม้ ถ่ายรูป และอาบน้ำกับช้าง เล่น ป้อนอาหารช้างอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางบรรยากาศ และชุมชนยังมีกิจกรรมแสดงปักจักสีสัต ของช้างและคน มาให้ได้ชม มีอาหารช้าง อาหารคน เครื่องดื่ม ไว้บริการคนที่มาเยือนอีกด้วย

“ทั่นเวาะ” เป็นชื่อที่ชาวบ้านในพื้นที่เรียก พระอาจารย์ เรวัต ถิรสัทโธ เจ้าอาวาส วัดเทพนิมิต อำเภอ ปานาเระ จังหวัดปัตตานี (ทั่นเวาะ) หมอช้าง เล่าว่า การตั้งปางช้างขึ้นมา เพื่อให้หมู่บ้านเป็นที่รู้จัก คนในหมู่บ้านจะได้ปลูกอ้อยปลูกกล้วยมาขายที่นี่ พอมีปางช้างก็มีคนเข้ามาเที่ยวมากขึ้น หมู่บ้านเป็นที่รู้จัก เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชน

ทำไม “ทั่นเวาะ” ถึงได้มาช่วยเหลือชาวบ้านมุสลิม ทั้งที่ท่านเป็นพระ ทั่นเวาะ บอกว่า เป็นหมอช้างคนเดียวที่อยู่ในกลุ่มคนมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนใต้มานาน ทุกครั้งที่ไปร่วมงาน เราไม่ได้ไปเอง เราเป็นหมอช้าง ปัจจุบันไม่ค่อยมีคนเรียนเป็นหมอช้างสักเท่าไร และทุนเดิมเราพูดอิสลามได้ เราแหลงได้ แหลงแขกได้ แหลงชัดเจน ช่วยคนมุสลิมที่นับถือศาสนาอิสลามมามากต่อมากแล้ว ทุกคนนับถือเรา เราอยู่ตรงไหนก็อยู่ได้ ไม่มีการแบ่งแยกศาสนา เพียงแค่เรามีความเคารพนับถือซึ่งกันและช่วยเหลือกัน ในฐานะคนรู้จักกันที่อาศัยอยู่ในผืนแผ่นดินไทย

“หมอช้าง” หรือ โต๊ะกูแซ หมายถึง กูแซ มาจากคำว่า กุญชร ที่แปลว่า ช้าง “โต๊ะกูแซ ” เป็นคำเรียก “ หมอช้างเพศหญิง ” เป็นภาษามลายู หากว่าเป็นเพศชาย จะเรียกว่า บอมอฆาเยาะห์ หรือ หมอช้าง ทำหน้าที่เป็นหมอที่มีลักษณะคล้ายๆกับหมอตำแย ไม่ได้เรียนจากที่ไหน แต่เชื่อว่า เกิดจากต้นตระกูลที่ได้รับสืบทอดวิชาเข้ามาเอง เมื่อถึงวัยที่เหมาะสม ใช้ในพิธีที่เกี่ยวกับช้าง เช่น พิธีต่างๆ ก่อนเดินขบวนแห่ช้าง เช่น พิธีเข้าสุนัต การแห่ช้างในงานแต่งงาน เป็นต้น พิธีการทำขวัญช้าง หรือ กำราบช้างเพื่อให้คลายความดุร้ายลง หมอช้างหรือโต๊ะกูแซ จึงมีความสำคัญ เนื่องจาก ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ดูแลช้างตั้งแต่เล็กๆ จึงมีความรอบรู้ในการดูแล ลักษณะนิสัยและมีความคุ้นเคย เป็นอย่างดี ส่วนประกอบของที่จะทำพิธี มี 7 อย่าง คือ น้ำมัน ไก่ย่าง ข้าวเหนียว ขนมโค ข้าวปากหม้อ น้ำตาลแว่น หมากพลู ดาดา หรือแป้งทอดโรยน้ำตาล

มูฮัมหมัดบัดรีย์ หะยีอับดุลรอแม ผู้ดูแลปางช้าง เล่าว่า แต่เดิมที่นี้เป็นสวนทุเรียน ลองกอง ทุเรียนหมอนทองจะเริ่มสุก เป็นรายแรกๆ ขายในราคา 150 บาท ต้นจะมีอยู่ข้างในจะมีถนนเข้าไป ช่วงฤดูกาลผลไม้ เราสามารถจะใช้ทำโปรโมชั่นบุพเฟ่ต์ผลไม้ เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาจากมาเลเซีย แทนที่จะซื้อในห้างก็หันมากินในสวนเลย คนอยากรู้ว่า ลองกอง ต้องได้เป็นช่อ จะได้ขายราคาแพงหน่อย ไม่ปล่อยเป็นตามมีตามเกิด เมื่อก่อนไม่มีตลาด แต่ตอนนี้ ตลาดเริ่มหามาเรา นั้นคือ “ นักท่องเที่ยวมา ก็เหมือนตลาดเป็นของเราแล้ว ”

ประกอบกับหมู่บ้านสุไหงบาลาแห่งนี้จะมีกลุ่มเกษตรกร มีศูนย์บ่มเพาะต้นกล้าชีวิตศูนย์เรียนรู้ เกี่ยวกับการทำเกษตร แบบใหม่ ก็ใช้พื้นที่ว่างหรือนาร้าง ปรับเป็นที่ปลูกปาล์ม พืชสวนครัวขึ้น ทำให้คนที่ไม่มีงานทำ นอกจากกรีดยางอย่างเดียวก็ทำอาชีพเสริม ปลูกพื้ชอื่นให้ช้างกินไปด้วย เป็นการต่อยอดรายได้เพิ่มอีกทางหนึ่ง อนาคตข้างหน้าเราก็จะจัดให้นักท่องเที่ยวได้ขี่ช้างลงเล่นน้ำในคลอง สามารถตั้งแคมป์ ปิ้งย่าง ตามแนวริมคลองยะกังได้อีกด้วย ทุกอย่างทำเพื่อต่อยอดบูรณาการคนในชุมชนสุไหงบาลา

ส่วนควาญช้างใช้เด็กๆในพื้นที่ เพื่อให้เด็กๆ ที่ไม่อยากเรียนหนังได้มีงานทำ ไม่เป็นภาระของพ่อแม่ และรู้ค่าของเงินที่ได้มา ที่สำคัญจะได้ไม่เอาเวลาไปยุ่งเกี่ยวกับ อบายมุข หรือ ยาเสพติด

สำหรับ พิกัด ปางช้างสุไหงบาลา จากนราธิวาสไปตามเส้นทางหลวงไปปัตตานี ประมาณ 8 กิโลเมตร ถึงโรงเรียนบ้านปูตะซ้ายมือก็จะถึงทางเข้าบ้านปูตะ 1.5 กิโลเมตร ข้ามสะพานซึ่งเป็นรอยต่อ บ้านปูตะกับบ้านสุไหงบาลาไปอีกนิดก็ถึง และอีกเส้นทางคือ เส้นทางไปบ้านมะนังตายอ พอถึ ง4 แยก เลี้ยวขวาตรงมาถึง 3 แยก เลี้ยวขวาอีกทีตรงมาเรื่อยๆ เจอ 3 แยก เลี้ยวซ้ายตรงอีกนิดก็จะถึงปางช้าง โทรติดต่อสอบถามได้ 086-0738191 เปิดปาง เวลา 09.00-18.00 น.

ข่าว/ภาพ : แวดาโอ๊ะ หะไร / อัสมา บินมะนุ ผู้สื่อข่าวจังหวัดนราธิวาส

Message us