
ประเพณีออกหว่า ในเทศกาลออกพรรษา อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประจำปี 2566 ปีนี้กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28-30 ตุลาคม 2566 เพื่อเผยแพร่ขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมของอำเภอแม่สะเรียง และส่งเสริมสนับสนุนมรดกทางวัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามที่สืบทอดมาช้านานจนเป็นเอกลักษณ์ และยังเป็นการสนับสนุนนโยบายรัฐบาลด้านซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power)


ก่อนอื่นเรามาทราบประวัติความเป็นมาของประเพณีการ “ออกหว่า” หรือประเพณีการออกพรรษาของชาวไทย ตามความเชื่อทางพระพุทธศาสนาของไทใหญ่ จุดเริ่มต้นของประเพณีออกหว่าในอำเภอแม่สะเรียงไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด แต่เป็นการสืบทอดกันมายาวนานตามคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ ว่าในสมัยก่อน มีมาตั้งแต่ ก่อสร้างบ้านเรือนมามากกว่า 400 ปี และสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ซึ่งคำว่า “ออกหว่า” เป็นภาษาไทใหญ่ (ไตใหญ่) ซึ่งมาจากคำว่า วสา หรือ วสันต์ ที่แปลว่า ฤดูฝน ออกหว่า คือ การออกจากฤดูฝน คนพื้นเมืองจะเรียกว่า ออกปะสา


ประเพณีออกหว่า ที่อำเภอแม่สะเรียงจัดขึ้นเพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม เนื่องจากกิจกรรมทางประเพณีที่แตกต่างจากที่อื่น ดังนั้นการจัดงานประเพณีออกพรรษาของอำเภอแม่สะเรียง จึงถูกเรียกว่าประเพณีออกหว่า โดยกำหนดจัดงานทุก 14 ค่ำ 15 ค่ำ และ วันแรม 1 ค่ำ ของทุกปี ในปนี้จัดระหว่างวันที่ 28-30 ตุลาคม 2566
ปีก่อนๆ ถ้าใครมีโอกาสได้มาเยือนในช่วงจัดงานของอำเภอแม่สะเรียง เมื่อเดินทางมาถึงได้เห็นการจัดทำ ราชวัติ และ ซุ้มราชวัติ ของหน่วยงานราชการและตามหน้าบ้าน ที่ประดับประดาด้วย ต้นกล้วย ต้นอ้อย ประทีปโคมไฟ ตุงจ่อง (ตุงใส่หมู) ไม้เกี๊ยะ เพื่อจุดให้ความสว่างในเวลากลางคืนจนถึงรุ่งเช้า เปรียบเหมือนกับว่าเป็นการตอนรับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้เสด็จกลับมายังโลกมนุษย์ในวันออกพรรษาเหมือนในอดีตกาล

ตามถนนในตัวเทศบาลเต็มไปด้วยโคมไฟหลายรูปทรง ใน 3 วันของการจัดงานมีพระและสามเณรจากวัดต่างๆ ในตัวอำเภอแม่สะเรียง ออกรับบิณฑบาตตามถนนตั้งแต่ ตี 4 โดยการตักบาตรวันแรกจะเป็นการตักบาตรด้วยอาหารที่ปรุงสุกส่วนอีกสองวันตักบาตรด้วยข้าวสารอาหารแห้ง ตั้งแต่ตอนตี 4 ได้จะเห็นการยื่นรอตักบาตรของชาวบ้านตามหน้าบ้านของตนเอง ตามซุ้มราชวัติหรือซุ้มไม้ไผ่สานขัดแตะ ประดับด้วยต้นกล้วยต้นอ้อยโคมไฟต่าง ๆ ที่แต่ละบ้านทำขึ้น
การตักบาตรวันออกพรรษาของชาวบ้านที่แม่สะเรียงจะไม่เหมือนกับที่อื่น ๆ ที่พระเดินเรียงแถวยาว แต่ที่นี่ชาวบ้านได้ทำราชวัติประดับโคมสวยงามรอตักบาตรตามหน้าบ้านของตนเอง ที่นี่เลยไม่มีพระเดินเป็นแถวยาว ๆ เป็นร้อย ๆ รูป ที่นี่เลยมีแต่พระเดินบิณฑบาตสวนกันไปมาตามถนนที่ชาวบ้านมารอตามซุ้มราชวัติหน้าบ้านของตนเอง และที่ไม่เหมือนกับที่อีกอย่างหนึ่งคือตักบาตรกันตั้งแต่ตีสี่ ตามความเชื่อของชาวเหนือที่เชื่อกันว่า พระอุปคุตจะออกมาจากณานมาบิณฑบาตโดยแปลงกายเป็นสามเณรน้อยออกบิณฑบาตตั้งแต่ก่อนฟ้าแจ้ง

ชาวบ้านแม่สะเรียงยังเชื่อว่า การทำราชวัติเพื่อรับเสด็จพระพุทธเจ้าจะได้อานิสงฆ์แรง เมื่อก่อนนี้ราชวัติยังมีไว้เพื่อกั้นระหว่างพระสงฆ์กับฆราวาส โดยเฉพาะผู้หญิงเมื่อก่อนต้องอยู่ด้านหลังราชวัติแล้วค่อยเอื้อมมือมาตักบาตรพระ แต่สมัยนี้ไม่ต้องทำอย่างนั้นแล้วแต่ทุกบ้านยังคงมีราชวัติอยู่ และเมื่อสมัยก่อนไม่มีไฟฟ้าใช้ การตักบาตรต้องอาศัยแสงสว่างจากไม้เกี๊ยะ หรือไม้สนเอามามัดรวมกันแล้วจุดไฟปักไว้ตามหน้าบ้าน ตอนนี้ก็ยังมีให้เห็นอยู่
นอกจากนี้ ยังมีอีกประเพณีที่สำคัญในช่วงวันออกหว่าของแม่สะเรียง คือ “ประเพณีหลู่เตนเหง” หรือ ตามเทียน หมายถึงประเพณีการถวายเทียนพันเล่ม “หลู่” ในภาษาไทใหญ่ก็ถวายหรือให้ทาน “เตน” หมายถึงเทียน “เหง” หมายถึงหนึ่งพัน เป็นความเชื่อของชาวไทยใหญ่ว่า การที่ชาวพุทธได้ถวายเทียนพันเล่มเพื่อบูชาพระรัตนตรัยนั้น จะทำให้การดำรงชีวิตได้รุ่งโรจน์สว่างไสวตลอดไป ชาวบ้านแต่ละคุ้มวัดจะช่วยกันเตรียมข้าวของเพื่อนำไปถวายวัด ได้แก่เทียนไข 1,000 เล่มขึ้นไป สวยดอกหรือกรวยดอกไม้ 1,000 กรวยขึ้นไป ต้นผึ้ง หมากเบง ดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง และจตุปัจจัยไทยธรรม จำนวนชุดตามเจ้าอาวาสวัดต่าง ๆ ที่ได้นิมนต์ไว้

ประเพณีแห่เทียนเหงจะมีขบวนแห่ในช่วงวันแรม 1-15 ค่ำเดือน 11 ปัจจุบันจึงจัดให้มีขบวนแห่ในวัน 1 ค่ำ เดือน 11 ทุกปีเพื่อจะได้ต่อเนื่องกับวันออกหว่า ขบวนแห่จะเริ่มไปตามถนนสายหลักของแม่สะเรียง มีหญิงชายที่เข้าร่วมจะแต่งกายด้วยชุดชนเผ่าถือพานสิ่งของเครื่องไทยทาน ในขบวนต้องมีไม้เกี๊ยะที่ทำจากไม้สนความยาว 4-7 เมตร หรือตามแต่จะจัดทำมา เพื่อนำไปจุดที่วัด

นอกจากนี้ก็มี ต้นผึ้ง หมากเบง ต่อมก็อม และที่ขาดไม่ได้ในกระบวนแห่ยังมีการแสดงศิลปะวัฒนธรรมพื้นบ้านเพื่อความสนุกสนานไม่ว่าจะเป็น การฟ้อนนกกิงกะหร่า การฟ้อนโต (สิงโต) ฟ้อนเงี้ยว แสดงท่าทางการเต้นที่รื่นเริงสนุกสนานตามความเชื่อที่จำลองมาจาก อากัปกิริยาของสัตว์ป่าหิพานต์ ที่ออกมาแสดงความยินดีต้อนรับพระพุทธเจ้า พร้อมด้วยการตีกลองมองเชิง แห่ไปรอบเมือง หลังจากนั้นก็จะแยกย้ายกันไปตามวัดในชุมชน เพื่อถวายเทียนและเครื่องไทยธรรมแก่พระสงฆ์ และจุดไม้เกี๊ยะในวัดก็เป็นอันเสร็จพิธี
ข่าวๅ/ภาพ : ประเสริฐ เทพศรี