บิ๊กตำรวจแถลงละเอียดชนวนฆ่า 6 ศพในโรงแรมหรูกลางกรุง



จากกรณีพบศพนักท่องเที่ยวชาวเวียดนาม 6 ราย เป็นสัญชาติเวียดนาม 4 ราย และสัญชาติอเมริกัน 2 ราย ที่โรงแรมหรูแห่งหนึ่งย่านราชประสงค์ เมื่อเวลาประมาณ 16.30 น. ของวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา

ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อวันที่ 17 ก.ค. ที่สน.ลุมพินี พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. และ พล.ต.ต.วิทวัฒน์ ชินคำ ผบก.น.5, พล.ต.ต. พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. พร้อมเจ้าหน้าที่บก.สส. บช.น. ,กก.สส. บก.น.5 และ สน.ลุมพินี ร่วมประชุมติดตามความคืบหน้าคดีการตายของนักท่องเที่ยว 6 รายได้เเก่ Ms. THI NGUYEN PHUONG สัญชาติเวียดนาม (หมายเลข1), Ms.THI NGUYEN PHUONG LAN สัญชาติเวียดนาม (หมายเลข2), Mr. DINH TRAN PHU สัญชาติเวียดนาม (หมายเลข3), Mr. HUNG DANG VAN สัญชาติอเมริกัน (หมายเลข4), MS. SHERINE CHONG สัญชาติอเมริกัน (หมายเลข5), Mr. HONG PHAM THANH สัญชาติเวียดนาม (หมายเลข6)

ภายหลังจากการประชุมนานกว่า 1 ชม. พล.ต.ต.นพศิลป์ ได้แถลงถึงกรณีดังกล่าวว่า จากการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งหมดที่ได้ทำการตรวจสอบตรวจศพทั้งหมด 6 รายภายในห้องพักเลข 502 ในโรงแรมดังกล่าว จะขออธิบายรายละเอียดบุคคลเป็นหมายเลข โดยหมายเลข 1 พบศพตรงประตูทางเข้าเป็นผู้หญิงสวมเสื้อสีขาว, หมายเลข 2 สวมเสื้อสีชมพูนอนอยู่ในห้องนอน, หมายเลข 3 เป็นผู้ชาย สวมเสื้อสีเทานอนเสียชีวิตข้างโต๊ะอาหารระหว่างทางเข้า , หมายเลข 4 เป็นผู้ชายนอนใกล้กันกับหมายเลข 1 ที่หน้าประตู, หมายเลข 5 เป็นผู้หญิงนอนอยู่ที่โต๊ะกินข้าว และหมายเลข 6 นอนเคียงข้างอยู่กับหมายเลข 2

พล.ต.ต.นพศิลป์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบการเดินทางเข้าออกและประวัติการเข้าพักที่โรงแรมดังกล่าวปรากฏว่า หมายเลข 1 ผู้หญิงสัญชาติเวียดนามสวมเสื้อสีขาว อายุ 46 ปี เดินทางเข้า ประเทศไทยครั้งแรก เมื่อวันที่ 12 ก.ค. เดินทางจากเมืองโฮจิมินห์โดยสายการบินเวียดนามแอร์ไลน์ถึงกรุงเทพเวลา 13.48 น. เมื่อถึงแล้วเดินทางเข้าเช็คอินห้องพักเลขที่ 502 (ห้องที่เกิดเหตุ) ต่อมาวันที่ 13 – 14 ก.ค.ได้มีการย้ายไปที่ห้อง 708 และในวันที่ 15 ก.ค. จึงเช็คเอาท์ออกจากห้อง 708 และลากกระเป๋ามารวมกันอยู่ที่ห้อง 502

หมายเลข 2 เป็นผู้หญิงสัญชาติเวียดนามใส่เสื้อสีชมพูนอนอยู่ในห้องนอน อายุ 47 ปี พบว่าเคยเดินทางเข้าออกไทยทั้งหมด 17 ครั้ง โดยวันที่ 4 ก.ค. ได้เดินทางมาที่ประเทศไทย ในเวลาประมาณ 12.56 น. และวันที่ 12 -13 ก.ค. เข้ามาพักโรงแรมดังกล่าวที่ห้องเลขที่ 1215 และได้มีการย้ายไปอยู่ห้อง 709 ในวันที่ 14-15 ก.ค. และเช็คเอาท์ออกมารวมตัวกันที่ห้อง 502

หมายเลข 3 เป็นชายสัญชาติเวียดนาม อายุ 37 ปี ใส่เสื้อสีเทาพบว่ามีการเดินทางเข้าประเทศไทยมาทั้งหมด 11 ครั้ง โดยวันที่ 12-13 ก.ค. ได้เข้ามาเช็คอินที่ห้อง 1219 และวันที่ 14 -15 ก.ค. ได้มีการย้ายมาห้อง 726 และทำการเช็คเอาท์มารวมตัวกันอยู่ที่ห้อง 502

หมายเลข 4 เป็นผู้ชายที่สัญชาติอเมริกัน อายุ 55 ปี ใส่เสื้อสีกรมท่านอนเสียชีวิตอยู่ใกล้กับหมายเลข 1 พบว่ามีการเดินทางเข้ามามายังประเทศไทยเพียงครั้งเดียว ในแรกวันที่ 7 ก.ค. เวลา 09.55 และเช็คอินวันที่ 12 -13 ก.ค. ห้อง 1212 และวันที่ 14 -15 ก.ค. ย้ายไปห้อง 727 และเช็คเอาท์มารวมตัวที่ห้อง 502

หมายเลข 5 เป็นผู้หญิงสัญชาติอเมริกันอายุ 56 ปี เคยเข้าประเทศไทยมาแล้ว 5 ครั้ง โดยในวันที่ 5 ก.ค. ได้เดินทางเข้ามาไทยในเวลา 13.05 น. และเข้าเช็คอินที่ห้อง 504 ในวันที่ 12 ก.ค. และวันที่ 13 ก.ค. อยู่ห้อง 808 และวันที่ 14 – 15 ก.ค. อยู่ห้อง 502 และพบศพในวันที่ 16 ก.ค. ที่ห้องดังกล่าว

หมายเลข 6 ชายสัญชาติเวียดนาม อายุ 49 ปี มีการเข้าเมืองไทยเป็นครั้งเเรกวันที่ 12 ก.ค. เวลา 13.48 น. ซึ่งบุคคลนี้ทางโรงแรมไม่พบการเช็คอินในระบบการเข้าพัก และจากการตรวจสอบข้อมูลจากญาติคือสามีของหมายเลข 1 ซึ่งเดินทางเข้ามาพร้อมกัน

เพราะฉะนั้น สรุปไทม์ไลน์การเข้าประเทศไทยของทั้ง 6 รายได้ดังนี้ หมายเลข 2 มีการเดินทางเข้ามาที่ไทยวันแรกคือวันที่ 4 ก.ค. จากนั้นพบว่าหมายเลข 5 เข้ามาไทยวันที่ 5 ก.ค. และวันที่ 7 ก.ค. มีหมายเลข 4 เดินทางเข้ามาไทย และวันที่ 12 ก.ค. หมายเลข 1 กับ 6 ที่เป็นคู่สามีภรรยาได้เดินทางเข้าไทยรวมกับ หมายเลข 3 ด้วย

พล.ต.ต.นพศิลป์ กล่าวว่า สำหรับบุคคลที่ 7 ที่มีการจองโรงแรมล่วงหน้าแต่ไม่มีการเข้าพักนั้น จากการตรวจสอบพบว่าเป็นน้องสาวของหมายเลข 2 โดยเข้ามาพร้อมกันในวันที่ 4 ก.ค. และปรากฏว่าทางบุคคลที่ 7 ได้เดินทางกลับไปที่เมืองดานัง ประเทศเวียดนาม ก่อนแล้วในวันที่ 10 ก.ค. จึงยืนยันได้ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ครั้งนี้ โดยจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุพบว่าผู้เสียชีวิตมีการมาเช็คอินที่โรงแรมดังกล่าวแต่ละคนด้วยตัวเอง และเข้าที่พักตามห้องที่นำเรียนไป ไม่มีผู้อื่นผู้ใดแปลกปลอมเข้าไปพักร่วมด้วย โดยในวันที่ 16 ก.ค. ช่วงเวลา 16.30 น. พนักงานโรงแรมได้เข้าไปตรวจสอบห้อง 502 เนื่องจากเลยเวลาเช็คเอาท์ แต่กลับพบว่าห้องดังกล่าวมีการล็อกจากข้างใน จึงได้ให้รปภ. เข้าไปดูจากทางข้างหลังห้องพักที่ไม่มีการล็อก จึงพบศพทั้งหมด 6 รายดังกล่าว

ทั้งนี้ จากการสอบถามพนักงานในโรงแรมยืนยันว่า ในวันที่ 15 ก.ค. ผู้เข้าพักในห้อง 502 ได้สั่งอาหารจำนวนหนึ่ง คือ ข้าวผัด 5 จาน ต้มยำกุ้ง 4 จาน ผัดผักรวม 4 จาน ผัดผักบุ้ง 1 จาน และชา 2 กระติก พร้อมแก้วน้ำชา 6 ใบ หลังจากนั้นได้สั่งอาหารเพิ่มรอบที่ 2 คือ ข้าวผัดเพิ่มเติมอีก 1 จาน และกำชับให้นำมาส่งที่ห้องในเวลา 14.00 น. โดยพนักงานโรงแรมได้นำอาหารชุดแรกเข้าไปส่งที่ห้องในเวลา 13.51 น. โดยนำอาหารใส่ในถัง พร้อมด้วยชุดกระติน้ำร้อน ชา แก้วน้ำ วางไว้บนโต๊ะภายในห้อง และพบผู้หญิงหมายเลข 5 อยู่ภายในห้องเพียงคนเดียวเป็นผู้รับอาหาร ซึ่งพนักงานได้เสนอจะชงชาให้แต่ผู้หญิงคนดังกล่าวปฏิเสธ แจ้งว่าจะทำเองและมีสีหน้าที่เคร่งเครียด

พนักงานจึงได้ออกจากห้อง ในเวลา 13.57 น. รวมที่อยู่ในห้องทั้งหมดประมาณ 6 นาที ยืนยันว่า หลังจากเวลา 13.57 น. ในห้องที่เกิดเหตุมีหมายเลข 5 อยู่เพียงคนเดียว หลังจากนั้นในเวลา 14.17 น. ผู้เสียชีวิตอื่นๆได้ทยอยนำกระเป๋าเดินทางมาไว้ที่ห้องดังกล่าวและได้เข้าไปในห้องดังกล่าว หลังจากนั้น ภาพจากกล้องวงจรปิดไม่พบว่ามีผู้ใดเดินออกมาจากห้องอีก ขณะที่ผลการตรวจสอบสาร เบื้องต้นพบว่าในแก้วน้ำชาทั้ง 6 ใบมีสารไซยาไนด์ จึงเชื่อว่า 1 ใน 6 ของผู้เสียชีวิตเป็นผู้ลงมือก่อเหตุ โดยใช้สารดังกล่าวแต่จะนำเข้ามาหรือซื้อในประเทศไทยนั้นอยู่ระหว่างการตรวจสอบ

พล.ต.ต.นพศิลป์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ขณะนี้ทางนิติเวชอยู่ระหว่างรอผลชันสูตรพลิกศพอย่างละเอียด รวมถึงผลการพิสูจน์หลักฐานในที่เกิดเหตุ และลายนิ้วมือ DNA คาดว่าจะทราบผลในช่วงบ่ายของวันที่ 17 ก.ค. นอกจากนี้ยังได้ประสานสถานทูตสหรัฐอเมริกาและสถานทูตเวียดนาม และฝ่ายความมั่นคงของเวียดนามตรวจสอบข้อมูลของผู้เสียชีวิตทั้ง 6 รายแล้ว ไม่พบหมายแดงติดตัวใคร ฉะนั้นคดีดังกล่าวนี้ถือเป็นเรื่องส่วนตัวของบุคคลทั้ง 6 ราย ไม่เกี่ยวกับการที่มีแก๊งหรือองค์กรอาชญากรรมใดๆที่จะมาก่อเหตุในเมืองไทย

จากการสอบถามข้อมูลจากญาติทราบว่า ในกลุ่มผู้เสียชีวิตมีผู้ที่เป็นสามีภรรยาประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างถนนในประเทศเวียดนามซึ่งได้ร่วมลงทุน สร้างโรงพยาบาลในประเทศญี่ปุ่น คิดเป็นเงินไทยมูลค่าประมาณ 10 ล้านบาท ตามที่ผู้หญิงหมายเลข 5 ได้ชักชวน แต่ไม่มีความคืบหน้าที่ผ่านมามีการทวงถามอยู่ตลอด ก่อนหน้านี้จึงได้มีการนัดหมายให้ไปเคลียร์กันที่ประเทศญี่ปุ่นแต่ติดขัดเรื่องการขอวีซ่าจึงเปลี่ยนมาเป็นประเทศไทย โดยวันนี้จะสอบปากคำญาติ 3-4 คนเพิ่มเติม

Message us