ทลายรังมังกรเทาร่วมมือคนไทยพบเงินหมุนเวียนกว่า 3,600 ล้าน


เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ที่กองบังคับการปราบปราม พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. รรท.จตช. พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ. พร้อมด้วย นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.กระทรวงพาณิชย์ นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ร่วมกันแถลงข่าวปฏิบัติการการตรวจค้นจับกุม “ยุทธการทลายรังมังกรเทา” พร้อมเข้าจับกุมผู้ต้องหาชาวจีนที่เข้ามาเปิดบริษัท อำพรางตัวเข้าทำธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย

พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า ตำรวจ บก.ปอศ. ร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ร่วมกันเข้าปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่ 46 จุดทั่วประเทศ โดยพบเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของนิติบุคคล จำนวน 442 บริษัท รวมมูลค่าทุนจดทะเบียน 1,189 ล้านบาท มีเงินหมุนเวียนกว่า 3,600 ล้านบาท โดยพบผู้กระทำผิดอีก 1,014 ราย แบ่งเป็นชาวจีน 258 คน ชาวไทย 714 คนเยอรมัน 3 คน อังกฤษ 3 คนญี่ปุ่น 2 คน เมียนมา 2 คนกัมพูชา 4 คน อเมริกัน 1 คนมาเลเซีย 21 คน เวียดนาม 4 คน ,สิงคโปร์ และคาซัคสถาน ประเทศละ 1 คน

ทั้งนี้ ลักษณะของการกระทำผิดจะแบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ การไปจดทะเบียนบริษัทโดยใช้คนไทยเป็นนอมินีเพื่อทำนิติกรรมอำพราง พบว่ามีการประกอบธุรกิจที่สงวนเอาไว้สำหรับคนไทยเท่านั้น และยังมีการถือกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ มีทั้งบ้านหรูและที่ดินเพื่อการเกษตร รวมมูลค่ากว่า 254 ล้านบาท โดยการเข้าตรวจค้นสำนักงานบัญชี และบริษัทนอมินี ก็พบตราประทับของบริษัทต่างๆ จำนวนกว่า 242 ชิ้น โดยพบข้อมูลการว่าจ้างสำนักงานทนายความ หรือสำนักบัญชีที่คอยจดทะเบียนบริษัทให้กับชาวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มคนจีน และยังพบมีร้านค้า ,ร้านอาหาร ,ซุปเปอร์มาร์เก็ต และโกดังนำเข้าสินค้าขนาดใหญ่ ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่ไม่ได้รับอนุญาตให้นำเข้ามาในราชอาณาจักร รวมถึงยังพบบริษัทรับแลกเปลี่ยนเงินตราที่ลักลอบเปิดกิจการโดยใช้ชื่อคนไทยอีกด้วย

ผบช.ก. กล่าวว่า ส่วนรูปแบบที่ 2 คือการจดทะเบียนบริษัทในลักษณะของบัญชีม้า เพื่อนำไปเปิดบัญชีธนาคาร รับโอนผลประโยชน์จากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และเพื่อใช้ฟอกเงิน ซึ่งปัจจุบันมิจฉาชีพจะเปลี่ยนมาใช้บัญชีบริษัทเพื่อเปิดบัญชีม้านิติบุคคล แทนบัญชีบุคคลเพื่อรับโอนเงิน ซึ่งจะสามารถทำให้โอนเงินได้ไม่จำกัดวงเงิน โดยไม่ต้องทำการยืนยันตัวตน สามารถโอนผ่าน Internet Banking ได้ทันที โดยกลุ่มมิจฉาชีพจะไปว่าจ้างสำนักงานบัญชี หรือสำนักงานทนายความ เพื่อจดทะเบียนนิติบุคคล แอบอ้างชื่อคนไทยเป็นเจ้าของ ก่อนนำชื่อนิติบุคคลไปเปิดบัญชีธนาคาร โดยไม่ได้ประกอบกิจการจริง ซึ่งจากข้อมูลที่ประชาชนแจ้งความร้องทุกข์เข้ามาผ่านระบบแจ้งความออนไลน์ ก็พบบริษัทที่มีลักษณะเข้าข่ายบริษัทนิติบุคคลม้าจำนวนหลายสิบบริษัทอีกด้วย

ด้านนายนภินทร กล่าวว่า เมื่อวันที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมา กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ทำ MOU ร่วมกับบชก. เพื่อร่วมตรวจสอบนิติบุคคลที่มีความเสี่ยง เป็นการป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น ไม่ให้มิจฉาชีพไปหลอกลวงประชาชนคนไทย ก่อนเปิดปฏิบัติการทลายรังมังกร เพื่อเข้าตรวจสอบจนพบบริษัทนิติบุคคลหลายแห่งที่มีแนวโน้มเข้าข่ายการกระทำความผิด จนไปพบแผนประทุษกรรมทั้ง 2 รูปแบบดังกล่าว คดีนี้มีอัตราโทษสูง มีโทษถึงจำคุก จึงขอฝากถึงบุคคลที่รู้ตัวว่าเป็นนอมินี ขอให้รีบแจ้งเข้ามายังเจ้าหน้าที่ จะยังสามารถกันตัวไว้เป็นพยานได้ อีกทั้งเจ้าหน้าที่ยังได้รวบรวมข้อมูลส่งไปยังสภาวิชาชีพบัญชีและสภาทนายความ ซึ่งจะมีผลต่อการประกอบอาชีพด้วย จึงขอให้ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ด้วย

ขณะที่ พล.ต.ท.ธัชชัย กล่าวว่า เดิมทีสังคมอาจมองว่า การลงทุนของคนต่างชาติในลักษณะให้คนไทยเป็นนอมินี ไม่น่าจะมีผลกระทบประเทศแต่เป็นการช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจ แต่ปัจจุบันพบว่า การปล่อยให้คนต่างชาติเข้ามาใช้คนไทยเป็นนอมินี ไปเปิดบริษัท ทำธุรกิจ จดทะเบียนรูปแบบต่างๆ โดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายนั้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติอย่างมาก โดยเฉพาะการถือครองทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับคดียาเสพติด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่เป็นปัญหาใหญ่ในประเทศมีคนไทยจำนวนมากกลายเป็นเหยื่อถูกหลอกลวง ในขณะที่มีคนไทยด้วยกันคอยให้การช่วยเหลือ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องดำเนินการกับภัยคุกคามต่อชาติในรูปแบบนี้ต่อไปให้ถึงที่สุด

Message us