
จากกรณีพนักงานสอบสวนกองปราบ ออกหมายเรียกให้ น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัฒน์ หรือ ทนายพัช ทนายความของ นางสรารัตน์ หรือ แอม รังสิวุฒาภรณ์ ผู้ต้องหาคดีวางยาฆ่าชิงทรัพย์ น.ส.ศิริพร ขันวงษ์ หรือ ก้อย อายุ 32 ปี มาเข้าพบเพื่อจะแจ้งข้อหาในความผิดตามมาตรา 184 “ช่วยเหลือผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษ หรือให้รับโทษน้อยลงโดยการทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย ซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำความผิด” หลังพบพยานหลักฐานว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดฉากยักย้ายหลักฐานเพื่ออำพรางคดี ตามที่มีการนำเสนอไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าล่าสุดเ เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 26 พ.ค. น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัฒน์ หรือ ทนายพัช พร้อมด้วย นายไชยา คุ้มอ่ำ ทนายความ ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. พ.ต.ท.ภาณุพงศ์ จันตะกูล สว.(สอบสวน) กก.5 บก.ป. เพื่อเข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก โดยใช้เวลานานร่วม 2 ชั่วโมงจึงแล้วเสร็จ
น.ส.ธันย์นิชา กล่าวว่า มารับทราบข้อกล่าวหาหลังถูก 1 ในผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว ซัดทอดหาว่าตนอยู่เบื้องหลังการจัดฉากยักย้ายพยานหลักฐาน ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และ ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งตลอดเวลาเป็นทนายความให้ นางสรารัตน์ ตนให้คำแนะนำต่างๆ ตามหน้าที่ของทนายอยู่ภายใต้ตามกรอบของกฏหมาย และ ยืนยันว่าไม่เคยเกี่ยวข้องหรือแนะนำการจัดฉากยักย้ายหลักฐานต่างๆแน่นอน และได้ขี้แจงพนักงานสอบสวนถึงข้อเคลือบแคลงสงสัยต่างๆไปหมดแล้ว

“ไม่เคยส่งกระเป๋าให้ น.ส.แก้ว และ ไม่เคยให้คำแนะนำใด ๆ ทั้งสิ้น ที่ผ่านมาไม่เคยใช้และไม่เคยรู้จักกระเป๋าแบรนด์เนมเลย การที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาดังกล่าวก็มาจากการซัดทอดของผู้ต้องหาคนอื่น ซึ่งไม่ทราบว่ามีเหตุผลอะไรที่ซัดทอดมาถึงตัวเอง ส่วนประเด็นที่ว่าเคยรู้จัก น.ส.แก้วมาก่อนหน้านี้หรือไม่ ไม่ขอพูดถึงเพราะเป็นเรื่องในสำนวน” น.ส.ธันย์นิชา กล่าว
น.ส.ธันย์นิชา กล่าวอีกว่า ยืนยันว่า ตอนนี้ยังเป็นทนายความหลักให้นางสรารัตน์อยู่ ส่วนจะมีทนายความคนไหนเข้ามาช่วยเหลือเรื่องคดีด้วยก็สามารถทำได้ เป็นสิทธิ์ของผู้ต้องหาที่สามารถแต่งตั้งทนายความคนอื่นเพิ่มได้ แต่ต้องสอดคล้องกับทนายหลัก และทนายหลักต้องยินยอม ก่อนหน้านี้มีรายงานว่ามีทนายความคนอื่นได้เข้าไปขอคัดสำนวนและขอเข้าไปพบนางแอมหลายครั้งและเบิกตัวมาขึ้นศาล ซึ่งทนายคนดังกล่าวไม่ได้ขอมาทำงานร่วมด้วย แต่ขอไม่พาดพิงถึง
สำหรับ ประเด็นที่ว่า นางสรารัตน์ จะมีการฟ้องหมิ่นประมาทบุคคลต่าง ๆ ทั้งพิธีกรและสื่อมวลชน น.ส.ธันย์นิชา กล่าวเพียงว่า เรื่องนี้อยู่ระหว่างหารือกับกลุ่มทนายใจดี แต่ยืนยันว่า ขณะนี้เตรียมจะฟ้องร้องอย่างแน่นอน ตนยืนยันว่าการทำหน้าที่ของทนายความมีหน้าที่ไปศาล ไม่ใช่มีหน้าที่ไปออกสื่อ ส่วนการฟ้องร้องตำรวจ นอกจากมาตรา 157 แล้ว จะใช้มาตราใหม่คือ พ.ร.บ.อุ้มหาย เข้ามาเพิ่มเติม ส่วนตัวของตนเองก็อาจจะมีการฟ้องร้องหมิ่นประมาทกับสื่อมวลชนบางสำนักด้วย ยืนยันไม่กังวลในประเด็นที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. จะใช้ทนายความช่วยคดีคนที่จะถูกฟ้อง

“ส่วนกระแสสังคมที่โจมตีตัวเองในประเด็นต่าง ๆ มองว่าเป็นการทำคดีสวนกระแสสังคม เป็นปกติที่คนจะมองว่าเป็นคนไม่ดี แต่ยืนยันว่าไม่กังวลและสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และ ภายในสัปดาห์หน้าจะเข้าพบนางสรารัตน์ อีกครั้งที่ ทัณฑสถานหญิงกลางเพื่อสอบถามแนวทางการดำเนินคดีเพิ่มเติม”ทนายพัช กล่าว
ด้าน พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. กล่าวว่า จากการสอบปากคำทนายพัช เจ้าตัวให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และให้การแย้งในประเด็นต่าง ๆ ที่พนักงานสอบสวนสงสัย ซึ่งคำให้การต่าง ๆ ค่อนข้างขัดแย้งกับข้อมูลการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และไม่สามารถหักล้างประเด็นต่าง ๆ ในคดีได้ และยืนยันว่ามีพยานหลักฐานมากพอที่จะสามารถดำเนินคดีกับทนายพัชได้
สำหรับ ประเด็นที่กล่าวหาว่าตำรวจ เตะตัดขาทนายความ มีความชัดเจนว่าผู้ต้องหามีพฤติการณ์เกินกว่าการเป็นทนายความและเกินกว่า ขอบเขตตามมรรยาททนายความ จึงถือว่าเป็นการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับการทำลายพยานหลักฐาน ทั้งนี้ไม่สามารถเปิดเผยได้ว่า บุคคลที่ให้ปากคำซัดทอดมาถึงตัวทนายพัช แต่ยืนยันว่าบุคคลดังกล่าวมั่นใจในคำให้การและตำรวจสามารถสืบสวนสอบสวนจนหาพยานหลักฐานมายืนยันคำให้การดังกล่าวได้ และถึงแม้ นางสรารัตน์ จะให้การพลิกไปพลิกมาในแต่ละครั้งที่มีการสอบปากคำ ก็จะยิ่งเป็นผลเสียต่อตัวผู้ต้องหาเอง เพราะจะทำให้คำให้การของผู้ต้องหาเสียน้ำหนักทางรูปคดี และทำให้ศาลไม่เกิดความเชื่อถือ ส่วนกรณีที่ทนายความของนางสรารัตน์ แสดงความมั่นใจว่า นาวสรารัตน์ จะออกมาแจ้งความเอาผิดเจ้าหน้าที่ตำรวจในข้อหาความผิดเกี่ยวกับ มาตรา 157 และกฎหมายใหม่ที่เพิ่งถูกประกาศใช้ เป็นสิทธิ์ที่ผู้ต้องหาสามารถทำได้
