
เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ว่า อยู่ในขั้นตอนการจัดตั้งรัฐบาล ถือว่าเป็นสถานการณ์ปกติ เพียงแต่มีประเด็นที่ดูเหมือนพรรคที่ไปร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลยังมีความไม่ลงตัวในบางเรื่อง สังคมก็เลยให้ความสนใจ เช่นเรื่องของประธานสภา เป็นต้น เพราะผลจากการแถลงล่าสุดสะท้อนว่าก็ยังไม่มีข้อยุติ ถ้ามีข้อยุติก็คงแถลงไปแล้ว
ผู้เมื่อถามว่า ถ้าเป็นอย่างนี้แสดงว่าการเจรจาระหว่างพรรคร่วมตอนนี้ยังไม่ลงตัวหรือไม่ นายจุรินทร์กล่าวว่า ตนไม่ไปประเมินอย่างนั้น แต่อย่างน้อยก็มีประเด็นที่ทำให้ประชาชนสนใจในเรื่องประธานสภานั้นลงตัวหรือยัง ก็สะท้อนว่ายังไม่น่าจะลงตัว แต่ว่าการเจรจาทางการเมืองนั้นก็ต้องเจรจากันไป สำหรับความเห็นของตนก็มองว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา
สำหรับ ไทม์ไลน์ทางการเมือง ที่จะมีการรับรอง ส.ส. และคาดว่าจะมีการเปิดประชุมสภาเดือน ก.ค. นั้นถือเป็นไทม์ไลน์ปกติหรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตรงนี้คือสิ่งที่จะทำให้ทุกอย่างอาจจะชัดเจนและนิ่งขึ้น ถ้า กกต. ประกาศผลการเลือกตั้ง ตอนนี้ก็อยู่ในช่วงที่ยังไม่มีการประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ
เมื่อถามว่าเหตุใดในการเลือกตั้งครั้งนี้ตำแหน่งประธานสภาถูกโฟกัสมากกว่าการเลือกตั้งครั้งก่อน นายจุรินทร์ กล่าวว่า อาจจะเป็นประเด็นที่ 2 พรรค ออกมาแสดงความเห็นในลักษณะที่ขัดแย้งกันก็ได้ แต่ประธานสภาก็ต้องเลือกกันในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ส่วนที่กังวลว่าจะต้องเป็นของพรรคโน้นพรรคนี้ไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายพรรคได้ ตนคิดว่าอาจเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะประธานสภาต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นกลาง จะไปช่วยขับเคลื่อนนโยบายพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งนั้นทำไม่ได้อยู่แล้ว และรัฐธรรมนูญก็จำกัดขอบเขตอำนาจหน้าที่ประธานสภาไว้ชัดเจน ข้อบังคับการประชุมก็กำหนดไว้ชัดเจน การที่จะปฏิบัติหน้าที่ การทำหน้าที่ในการบรรจุระเบียบวาระการประชุม ทุกอย่างมีกฎเกณฑ์ มีระบบระเบียบทั้งหมดอยู่แล้ว ดังนั้นก็ไม่ต้องไปกังวลว่าจะสามารถที่จะทำอะไรนอกเหนือกฎเกณฑ์ได้
นายจุรินทร์ กล่าวถึงการเลือกตั้งประธานสภาฯว่า เป็นเรื่องที่สะท้อนให้เห็นว่าในพรรคการเมืองที่ไปรวมกันจัดตั้งรัฐบาลขณะนี้ก็ยังมีความไม่ลงตัวกันอยู่ในเรื่องประธานสภา แล้วก็ตำแหน่งประธานสภาก็ไม่น่าจะมีผลต่อการได้มาซึ่งตัวนายกรัฐมนตรี เพราะทุกอย่างต้องเป็นไปตามระเบียบกฎเกณฑ์ และตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน คนจะเป็นนายกฯ ต้องได้รับการโหวตในที่ประชุมร่วมรัฐสภา เพราะฉะนั้นก็จะขึ้นอยู่กับผลการลงคะแนน ส่วนประธานสภามีหน้าที่นำชื่อจากผลการลงคะแนนในที่ประชุมร่วมรัฐสภาขึ้นทูลเกล้าฯ จะไปทำเป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้ จะเปลี่ยนชื่อก็ไม่ได้ ก็ต้องเป็นไปตามนั้นอยู่แล้ว
นายจุรินทร์ ยังได้ระบุถึงคุณสมบัติของผู้จะดำรงตำแหน่งประธานสภาว่า ก็ต้องเป็นผู้แทนราษฎร ถ้าไม่เป็น ส.ส. ก็เป็นประธานสภาผู้แทนไม่ได้ แล้วก็ไปดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญไม่ได้ เพราะฉะนั้นเบื้องต้นก็ต้องเป็น ส.ส. ส่วนจะมีคุณสมบัติอย่างไรนั้น กฎหมายได้กำหนดไว้ชัดอยู่แล้วว่า คนที่จะมาเป็นประธานสภาต้องมีคุณสมบัติอย่างไร แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการปฏิบัติหน้าที่มากกว่า แล้วก็ขึ้นอยู่กับว่าที่ประชุมเลือกใคร
“ผมไม่มีเงื่อนไขอะไรพิเศษหรอก เพราะมีระบบ ระเบียบได้กำหนดบังคับไว้ชัดอยู่แล้ว ถ้าปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นกลางเมื่อไหร่ สมาชิก็ทักท้วง แล้วก็สังคมก็จะกดดันเองว่า ประธานสภาคนนี้ทำไมถึงไม่ทำหน้าที่เป็นกลาง แล้วอาจจะมีการร้องต่อไปในอนาคตได้ด้วย เพราะประเทศเราการตรวจสอบก็เข้มข้นขึ้น” นายจุรินทร์ กล่าว
สำหรับ พรรคประชาธิปัตย์ ได้มีการสรุปบทเรียนหลังการเลือกตั้งอย่างไรบ้างนั้น นายจุรินทร์ กล่าวว่า พรรคก็จะต้องเดินหน้าต่อไป ผลการเลือกตั้งนั้น ไม่แพ้ก็ชนะ ไม่ได้มากก็ได้น้อย ก็เป็นสิ่งที่เราตระหนักได้ และเข้าใจดีอยู่แล้ว แต่สิ่งหนึ่งก็คือ ทุกคนจะต้องมาช่วยกันทำพรรคให้เติบโตต่อไป และเข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจประชาชนได้มากขึ้นต่อไปในอนาคต สำหรับตนไม่ว่าอยู่ในสถานะไหนก็พร้อมที่จะเข้ามาช่วยสนับสนุนพรรคให้เดินหน้าต่อไป และคงความเป็นสถาบันทางการเมืองที่เป็นที่หวังของประชาชนได้ต่อไปในอนาคต
เมื่อมีการถามว่า เคยได้ยินหรือไม่ว่ามีคนติดต่อประชาธิปัตย์ไปร่วมจัดตั้งรัฐบาล นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตนได้ตอบไปชัดแล้วว่า ตอนนี้ต้องให้โอกาสพรรคก้าวไกลที่จะเป็นแกนตั้งรัฐบาล และประชาธิปัตย์จะไม่ไปเป็นอุปสรรคในการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล นี่คือสิ่งที่ตนประกาศไปชัดเจน และจนนาทีนี้ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และในฐานะรักษาการหัวหน้าพรรคก็ยังไม่เคยมอบหมายใครไปเจรจาจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคการเมืองใด
เมื่อถามว่า ในฐานะคนทำงานการเมืองมาอย่างยาวนาน รู้สึกหรือไม่ว่าจะมีการเมืองบนท้องถนนอีกระลอกหนึ่งจากนี้ นายจุรินทร์ กล่าวว่า เราไม่อยากให้เกิดขึ้น และเชื่อว่าคนไทยทุกคนก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น อยากให้ทุกอย่างได้เดินหน้าไปตามระบบ ไปตามรัฐธรรมนูญที่ได้กำหนดไว้ เพราะรัฐธรรมนูญก็มาจากการลงประชามติของประชาชน จึงอยากให้ได้เดินไปเป็นการเมืองในรัฐสภา เพียงแต่ไม่ใช่ว่าประชาชนจะให้ความคิดความอ่านไม่ได้ อันนั้นเป็นเรื่องของระบอบประชาธิปไตยปกติที่ประชาชนก็ต้องสามารถแสดงความคิดความเห็นได้อยู่แล้ว