
7 ธันวาคม 2567 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ ระบุเนื้อหาตอนหนึ่งว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยกำลังพินาศย่อยยับ แต่รัฐบาลต้องการเงินเพิ่มอีก 2.5 ล้านล้านบาทมาใช้จ่ายการแจกเงินแบบประชานิยม แต่มาเพิ่มการเก็บภาษี vat ทำให้คนชั้นกลางลงมาชั้นล่างได้ผลกระทบสูงสุด แล้วยังจะลดภาษีนิติบุคคลให้คนรวยไม่ต้องเดือดร้อนอีก จึงสะท้อนถึงปัญหาการทำงานแก้เศรษฐกิจที่โฆษณาเป็นจุดเด่นทางการเมือง
อีกอย่างเศรษฐกิจล้มระเนระนาด โรงงานทยอยปิด ส่วนที่เหลือมีสภาพปางตายให้คนงานทำงานน้อยลงเพื่ออยู่เฝ้าโรงงานไว้ จึงเป็นความสาหัสทางเศรษฐกิจ เมื่อรัฐบาลขึ้นค่าแรงแบบพุ่งพรวดมาซ้ำเติมอีก เศรษฐยิ่งย่ำแย่หนักไปอีกหลายเท่า
เมื่ออดีตพรรคเพื่อไทยมีประวัติสวยหรูกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ แล้ววันนี้ได้แก้ปัญหาอะไรสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมหรือเปล่า รัฐบาลอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร กลับโยนหินถามทางในแต่ละเรื่องไม่ได้เป็นคุณอะไรต่อประชาชนเลย กรณี vat อ้างอยู่ระหว่างการศึกษา ทั้งที่สภาพบ้านเมืองอยู่ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ แทนที่จะลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชน แต่จะขึ้น vat ซ้ำเติมคนจนต้องเดือดร้อน
นายจตุพร กล่าวต่อว่า ภาวะเศรษฐกิจเมื่อเสียการเมืองแล้ว ความเชื่อมั่นอย่างอื่นก็ทำไมได้ โดยแต่ละเรื่องที่จะทำยังไม่เข้าท่า อย่างประชุมสุดยอดผู้นำบ่อนคาสิโนในไทย นอกจากนี้ยังดันกฎหมายขนส่งทางรางเพื่อยกที่ดินสองข้างทางให้เอกชน หรือแม้แต่ขายคอนโดฯ ให้อยู่ได้ 99 ปี และเช่าที่ดิน 3 แสนไร่โครงการแลนด์บริดจ์ 99 ปี เมื่อถูกประชาชนซักถามมากเข้าก็บอกเป็นแค่แนวความคิด รวมทั้งจะแจกเงินดิจิทัลแบงก์ชาติก็ขวาง จะตั้งประธานบอร์ดแบงก์ชาติยังไม่กล้าเสนอชื่อเข้า ครม.อีก ดังนั้น แต่ละเรื่องจึงเต็มไปด้วยปัญหา เพราะขาดความน่าเชื่อถือ
“คนที่มีลักษณะผู้นำนั้น ในวิกฤตจะสร้างโอกาสขึ้นได้ แต่คนไม่มีความเป็นผู้นำแล้วแม้มีโอกาสกลับจะสร้างวิกฤตขึ้นมาแทนที่ จึงเป็นความแตกต่างชัดเจนของการแก้ไขปัญหา แล้วยังก่อปัญหาให้คนอีกชุดมาอธิบายแก้ต่างแทนตามหลัง ดังนั้น การแก้ปัญหาของประเทศเหมือนคนเมาหมัด ไม่รู้ในแต่ละหน้าที่ตำแหน่งบัญชาการมีคนทำงานกันหรือเปล่า” นายจตุพร กล่าว