เมื่อวันที่ 28 ก.พ. นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงการคลังได้จัดเปิดตัวโครงการศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (Financial Hub) ให้แก่บริษัท ด้านการเงินชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ ทั้งสถาบันการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทประกันภัย รวมถึง ผู้ประกอบธุรกิจ Digital Asset รวมทั้งสิ้นกว่า 100 บริษัท ภายใต้หัวข้อ “Pioneering Progress: Thailand’s Financial Hub Blueprint” ได้รับความสนใจ อย่างมากและมีการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
นายเผ่าภูมิ ได้นำเสนอหลักการในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Financial Hub โดยเน้นย้ำว่าโครงการ Financial Hub ไม่ได้เป็นเพียงแค่การยกร่างกฎหมาย แต่เป็นความตั้งใจจริงของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับโลก โดยหลายหน่วยงานได้ร่วมกันศึกษาและออกแบบ Financial Hub ของไทยจากการนำแนวปฏิบัติที่ดีในระดับสากลมาผสมผสานกับความได้เปรียบในการแข่งขันของประเทศไทย โดยคำนึงถึงการสร้างระบบนิเวศทางการเงิน ที่มีความโปร่งใส การกำกับดูแลที่มีมาตรฐานและเอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรม รวมทั้งการส่งเสริมผู้ประกอบธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับ การพัฒนาโครงการ Financial Hub ของไทย ยึดมั่น 4 หลักการสำคัญ คือ
1) สิทธิประโยชน์ที่โปร่งใสและสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก โดยกำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ชัดเจน พัฒนากระบวนการจดทะเบียนประกอบธุรกิจให้มีความสะดวกรวดเร็ว อำนวยความสะดวกให้การเข้าเมืองของผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ เพื่อลดภาระด้านเอกสารและการติดต่อกับภาครัฐ
2) มาตรฐานการกำกับดูแลที่ทันสมัยและคล่องตัว ผ่านการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (OSA) เพื่อให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ
3) การพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศไทยให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบธุรกิจ โดยกำหนดให้มีการร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการและสถาบันการศึกษาชั้นนำในการยกระดับทักษะของแรงงานในประเทศ
4) แนวทางที่เหมาะสมในการส่งเสริมการเข้าถึงตลาดในประเทศ (Market Participant) โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจสามารถให้บริการแก่ผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (Non-resident) เพื่อพัฒนาบริบทของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบธุรกิจเข้าถึงตลาดในประเทศได้ในบางกรณี
ตำแหน่งที่ตั้งของประเทศไทยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เติบโตอย่างรวดเร็วและมีการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและการเงินกับโลกอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น โครงการ Financial Hub จะช่วยให้ประเทศไทยเป็นประตูสู่การลงทุนระหว่างภูมิภาคและก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการลงทุนระหว่างประเทศในอนาคต ทั้งนี้ ไม่เพียงเพราะประเทศไทยมีต้นทุนในการประกอบธุรกิจที่แข่งขันได้ แต่ยังเป็นเพราะประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศที่เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรม โดยเฉพาะในด้านการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) และสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets) ที่ประเทศอื่น ๆ ยากที่จะแข่งขันได้
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้เชิญชวนบริษัทด้านการเงินระดับโลก ผู้ประกอบการในประเทศ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Financial Hub ใน 8 ประเภทธุรกิจ ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวจะไม่เพียงแต่ผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับสากล แต่จะเป็นการยกระดับบทบาทของไทยในฐานะผู้นำในระบบการเงินสมัยใหม่ในทวีปเอเชียและทั่วโลกนอกจากนี้
สำหรับ ปัจจุบันร่างกฎหมาย Financial Hub อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่อนาคตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและยั่งยืนสำหรับระบบการเงินของไทย และเป็นโอกาสในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างพันธมิตรในระดับสากลและผู้มีส่วนร่วมในประเทศ เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่เปี่ยมไปด้วยโอกาสและประโยชน์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของทุกฝ่าย