
เมื่อวันที่ 13 ต.ค. ตรงกับวันแรม 14 ค่ำเดือน 10 เข้าสู่ 2 วันสุดท้ายของเทศกาลบุญสารทเดือนสิบ เทศกาลบุญใหญ่ประจำปีของชาวนครศรีธรรมราช ลูกหลานต่างเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อทำบุญประจำปีด้วยการยก “หมฺรับ” หรือ “สำรับ” เป็นอาหารคาวหวาน ผลไม้มายังวัดใกล้บ้าน วันนี้ถือเป็นการยกหมฺรับใหญ่ มีการนำเอาขนมประจำกาลนี้คือ ขนมพอง ขนมลา ขนมสะบ้า ขนมดีซำ ขนมไข่ปลา เป็นขนมหลักที่ขาดไม่ได้ รวมทั้งเครื่องบริโภคที่ขาดไม่ได้ในครัวเช่นเกลือ พริก กะปิ หอม กระเทียม ขี้ไต้ ข้าวสาร อาหารแห้ง นำมาตกแต่งอย่างสวยงาม ประดับธนบัตรที่ยอดหมรับถวายวัด เพื่อเป็นเสบียงบุญไปให้บรรพบุรุษไปใช้ในโลกหลังความตาย

หลังจากนำเข้าสู่วัดศาลาการเปรียญภายในวัดจะเต็มไปด้วยลูกหลานชาวนครศรีธรรมราช พระสงฆ์จะประกอบพิธีฉลองหมฺรับเพื่อเป็นสิริมงคล และเจริญพระพุทธมนต์ ถวายภัตตาหารเพล แล้วจะเข้าสู่พิธีกรรมตั้งเปรต หรือพลีเปรต ลูกหลานจะนำขนมทั้ง 5 ผลไม้ น้ำ ออกไปยังหน้าวัดริมกำแพงวัดนอกอาณาบริเวณอาราม ตามความเชื่อที่ว่า จะมีบรรดาวิญญาณสัมภเวสีเร่ร่อน หรือดวงวิญญาณที่เต็มไปด้วยอกุศลเมื่อครั้งยังมีชีวิตเมื่อล่วงลับไปจะตกอยู่ในเปตภูมิไม่สามารถเข้าไปในเขตอารามได้ จะมารอคอยรับส่วนบุญที่ลูกหลาน หรือผู้ที่มาอุทิศให้สรรพวิญญาณหน้าวัด เมื่อตั้งพลีแล้วบรรดาเด็กๆ จะเข้ามาแย่งชิงเป็นที่สนุกสนาน มีทั้งเงินเหรียญ ธนบัตร ขนม ผลไม้ น้ำไปแบ่งกัน

ส่วนในวันที่ 14 ต.ค.ถือเป็นวันสุดท้ายของเทศกาลบุญสารทเดือนสิบ คือ วันส่งตายาย ลูกหลานจะกลับมายังวัดอีกครั้ง นำภัตตาหารมาถวายพระสงฆ์ประกอบพิธีสวดบังสุกุลให้กับดวงวิญญาณผู้ล่วงลับ และบรรดาดวงวิญญาณที่ตกทุกข์อยู่ในอบายภูมิ เปตภูมิ เพื่อให้ได้รับกุศลบรรเทาทุกข์ในโลกหลังความตาย เป็นอีกนัยหนึ่งของประเพณีคือการรวมญาติรวมลูกหลานเพื่อรำลึกถึงบรรพบุรุษในหนึ่งปีจะต้องกลับมาภูมิลำเนาพบกับเครือญาติร่วมกุศลกัน ซึ่งถือว่าเป็นประเพณีที่ชาวนครศรีธรรมราช ปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่องหลายร้อยปีแล้ว
ข่าว/ภาพ : นุชรี แรกรุ่น ผู้สื่อข่าวจังหวัดนครศรีธรรมราช

