
“บลูมเบิร์ก” สื่อใหญ่จากต่างประเทศรายงานว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ได้พบกับ กลุ่มบริษัทของตะวันออกกลาง และ จีน รวมถึง อีมาร์ กรุ๊ป (Emaar Group) บรอด กรุ๊ป (Broad Group) และ วาโทน กรุ๊ป (Vatone Group) โดยได้หารือกันถึงแผนการที่จะสร้างตึกที่สูงที่สุดในโลกขึ้นในประเทศไทย โดยนายกรัฐมนตรีของไทยเองก็ได้พูดถึงเรื่องนี้บนเเพลตฟอร์ม X เมื่อวันศุกร์ (19 เมษายน)
บลูมเบิร์กรายงานว่า ตึกที่อาจได้รับการพัฒนาขึ้นนี้ จะมีวัตถุประสงค์การใช้หลายรูปแบบ (mixed-use tower) เช่น เป็นทั้งโรงเเรม ศูนย์การเงินการธนาคาร ห้างสรรพสินค้า และเเหล่งความบันเทิง ด้าน อีมาร์ กรุ๊ป นั้น เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจากโครงการ “เบิร์จ คาลิฟา” ซึ่งเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก ที่นครดูไบ

นายโมฮาเหม็ด อะลับบาร์ ผู้ก่อตั้งอีมาร์กรุ๊ป กล่าวว่า โครงการนี้จะถูกพัฒนาขึ้นโดยกลุ่มนักลงทุน โดยผู้ลงทุนจะรวมถึงตัวเขาเองและเป็นการส่วนตัว ไม่ใช่การลงทุนในรูปแบบของบริษัทมหาชน การหารือเรื่องตึกที่ “สูงมาก ๆ” นี้ ยังเพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้น
บลูมเบิร์กรายงานข่าวอ้างอิงคำพูดของนายกรัฐมนตรีไทยที่เป็นอดีตนักอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ว่า โครงการในไทยจะประกอบด้วยห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ สำนักงาน ศูนย์กลางการเงิน โรงแรม และศูนย์กลางความบันเทิง โดยตัวเขาเองเป็นผู้ให้ความสนับสนุนแนวความคิดที่จะผลักดันให้ไทยมีศูนย์รวมความบันเทิง หรือ entertainment complex ขนาดใหญ่ที่มีสถานคาสิโนรวมอยู่ด้วย

ทั้งนี้ ในข้อความบนเเพลตฟอร์ม X ที่นายเศรษฐาโพสต์เอาไว้เมื่อวันศุกร์ (19 เมษายน) ระบุว่า โครงการนี้จะสร้างมูลค่าการลงทุน และดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างมาก โดยทางกลุ่มผู้ลงทุนจะศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนและจะนำเสนอแผนการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรมเป็นลำดับต่อไป นอกจากนี้ ยังกล่าวด้วยว่า การส่งเสริมการลงทุนจากภาคเอกชนเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และสร้างรายได้ให้พี่น้องประชาชน
ด้านนายชัย วัชรงค์ โฆษกรัฐบาล ยังได้กล่าวกับบลูมเบิร์กด้วยว่า กลุ่มนักลงทุนนี้สนใจที่จะร่วมมือกันผลักดันโครงการระดับ “เมกะโปรเจคท์” นี้ขึ้นในกรุงเทพฯ นายกฯ เศรษฐาเสนอว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่โครงการนี้จะสูงกว่าตึกที่ดูไบ ซึ่งนับเป็นความท้าทาย แต่ผู้ร่วมหารือเหล่านี้ก็ไม่ได้ปฏิเสธแนวคิดดังกล่าว

นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งผู้นำประเทศในเดือนกันยายน 2566 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีซึ่งควบตำแหน่งรมว.คลัง ได้เดินหน้าชักชวนบริษัทต่างชาติและนักลงทุนนอกประเทศให้เข้ามาลงทุนโดยตรงในประเทศไทย ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) แต่มีการเติบโตช้ากว่าประเทศร่วมภูมิภาคหลายประเทศในปัจจุบัน
เท่าที่ผ่านมานายกฯ เศรษฐา ได้พบกับผู้บริหารระดับสูงสุดของบริษัทต่างๆมากกว่า 60 บริษัท เพื่อเชิญชวนให้พวกเขาเข้ามาลงทุนในภาคเศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูงในประเทศไทย ในความพยายามที่จะกระตุ้นการเติบโตของจีดีพีไทย ที่เฉลี่ยอยู่ในอัตราไม่ถึง 2% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
ผู้นำรัฐบาลไทย กล่าวว่า โครงการตึกระฟ้าอันจะถือเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น (man-made tourist destination) แห่งนี้ อาจสร้างจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศให้เข้ามาเยือนประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวนับเป็นฟันเฟืองใหญ่ในการทำรายได้ให้กับประเทศไทย คิดเป็น 12% ของขนาดเศรษฐกิจทั้งหมด

ยอดนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศไทยเติบโตกว่า 40% ในปีนี้ (2567) มาอยู่ที่ประมาณ 11 ล้านคน ซึ่งส่วนหนึ่งได้เเรงหนุนการโครงการยกเว้นวีซ่าและการผ่อนกฎการเดินทางมาเที่ยวไทย ในปีนี้ ประเทศไทยตั้งเป้าที่จะรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 35 ล้าน – 40 ล้านคน ซึ่งใกล้เคียงกับยอดสูงสุดเดิมที่ 40 ล้านปี 2019 ก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19