
เมื่อวันที่ 24 เมษายน ที่ห้องเพชรทอง ร้อยทองรีสอร์ท อ.ควนขนุน จ.พัทลุง สมาคมการค้าผู้เลี้ยงสุกรภาคใต้ ได้ประชุมสมาชิกสมาคมการค้าผู้เลี้ยงสุกรภาคใต้ โดยมี นายปรีชา กิจถาวร นายกสมาคมการค้าผู้เลี้ยงสุกรภาคใต้ นายเฉลิมพล มานันตพงศ์ ประธานกลุ่มสมัชชาผู้เลี้ยงสุกรายย่อยภาคใต้ นายสำรอง รักชุม ตัวแทนสมัชชาผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยภาคใต้ นายภักดี ชูขาว ผู้เลี้ยงสุกรจังหวัดพัทลุง และสมาชิกเกษตรกรผู้เลี้ยง ฯลฯ เข้าร่วมประมาณ 80 คน
นายปรีชา กิจถาวร นายกสมาคมการค้าผู้เลี้ยงสุกรภาคใต้ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์วิกฤติของผู้เลี้ยงสุกร ที่ประสบปัญหาของการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายในราคาที่ต่ำมาก ส่งผลให้ราคาจำหน่ายสุกรมีชีวิตภายในประเทศตกต่ำ ส่งผลให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก ประสบภาวะขาดทุนต่อเนื่องกว่า 1 ปี ในขณะที่ต้นทุนการเลี้ยงสูงขึ้นจากการปรับราคาของวัตถุดิบอาหารสัตว์ ต้นทุนด้านพลังงาน ต้นทุนด้านแรงงาน รวมทั้งต้นทุนด้านระบบ Biosecurity ของฟาร์มเพื่อป้องกันโรคระบาด เช่น โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ที่สร้างความเสียหายให้แก่เกษตรกรมาแล้วเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ จากปัญหาดังกล่าวส่งผลทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยได้รับความเดือดร้อน ประสบภาวะขาดทุนอย่างหนัก ไม่สามารถแบกรับภาระได้ จึงต้องเลิกเลี้ยงไปกว่า 75% จากเกษตรกรรายย่อยทั้งประเทศ โดยในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทางสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ร่วมกับสมาคมภูมิภาคปรับราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม จาก 50 กว่าบาท ปรับราคาขึ้นมาวันพระละ 4 บาท ตั้งแต่วันพระที่ 1 เมษายน จนถึงวันพระล่าสุด 23 เมษายน ราคาจำหน่ายสุกรขุนหน้าฟาร์มภาคใต้อยู่ที่ 74 บาท
นายปรีชา กล่าวว่า การปรับราคาสุกรในครั้งนี้เป็นผลมาจากการที่สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ร่วมกับกรมปศุสัตว์กรมการค้าภายใน และผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศ จัดโครงการตัดวงจรลูกหมูทำหมูหัน เพื่อลดปริมาณสุกร และรักษาเสถียรภาพของราคาสุกรภายในประเทศ โดยการตัดวงจรลูกสุกรที่น้ำหนัก 3-7 กิโลกรัม ไปทำหมูหัน จำนวน 450,000 ตัว ทั่วประเทศ ภายในระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป

อย่าไรก็ตาม ขอความร่วมมือจากผู้เลี้ยงสุกรที่มีแม่พันธุ์ตั้งแต่ 2,000 แม่ขึ้นไป ซึ่งสมาคมฯ ประสานผู้ซื้อในราคาตัวละ 150 บาท และจะได้รับเงินสนับสนุนจากคณะกรรมการบริหารกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (คบท.) อีกตัวละ 400 บาท ซึ่งต้องใช้งบประมาณสนับสนุนเป็นเงิน 180 ล้านบาท โดยการแบ่งจ่าย 6 งวด งวดละ 30 ล้านบาท ซึ่งงวดแรกได้รับการอนุมัติแล้ว
นายปรีชา กล่าวอีกว่า จากสภาวะอากาศที่ร้อนจัด ส่งผลให้หมูเติบโตช้า ผลผลิตออกสู้ตลาดช้าลง และจากภาวะขาดทุนต่อเนื่อง จึงต้องมีการปรับราคาขึ้นมาให้ใกล้เคียงต้นทุนการผลิตตามประกาศของสำนักเศรษฐกิจการเกษตรคือ 80 บาท เพื่อลดภาระของเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร ดังนั้นทางสมาคมการค้าผู้เลี้ยงสุกรภาคใต้และเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยในพื้นที่ภาคใต้ขอยืนยันว่า ราคาสุกรที่จำหน่ายในปัจจุบันนั้นยังเป็นราคาที่ยังอยู่ในภาวะขาดทุน จึงขอให้กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลราคาและระบบการค้าให้เกิดความเป็นธรรมที่กับผู้ค้าและผู้บริโภคนั้น ขอให้ดูแลความเป็นธรรมให้แก่เกษตรกรซึ่งเป็นผู้ผลิตด้วย

“หากภาคการผลิตอยู่ในภาวะขาดทุนและถูกกดราคาอย่างต่อเนื่อง เกษตรกรก็ไม่สามารถประกอบอาชีพผู้เลี้ยงสุกรต่อไปได้ จึงควรปล่อยให้ราคาเป็นไปตามกลไกของตลาด เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารให้ผู้บริโภคไม่ขาดแคลนและสามารถซื้อเนื้อหมูได้ในราคาที่เหมาะสม” นายปรีชา กล่าว