สหภาพฯ กฟผ.ต้านสร้างโรงไฟฟ้าใหม่คาใจแผน PDP สำรองไฟยังสูง

นางณิชารีย์  กิตตะคุปต์  ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)  ได้ยื่นหนังสือถึงนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน เพื่อขอให้มีการทบทวนร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ  PDP 2024 ( พ.ศ.2567-2580) เนื่องจากสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ 3 การไฟฟ้า ได้แก่ กฟผ. การไฟฟ้านครหลวง(กฟน.)  และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(PEA) มีความห่วงใยต่อร่างแผน PDP ที่ยังไม่บรรลุจุดประสงค์หลักที่สำคัญในกิจการไฟฟ้าของประเทศ 2 เรื่อง คือ การดูแลความมั่นคงของระบบไฟฟ้าและอัตราค่าไฟฟ้าที่รัฐต้องดูแลการบริหารจัดการเพราะเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของประชาชนตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ

สำหรับ สาระสำคัญที่เสนอให้พิจารณาทบทวนการจัดทำร่างแผน PDP ใหม่ คือ1.ให้เวลามากขึ้นในการทบทวนร่างแผน PDP เพื่อให้เกิดประสิทธิผลและประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน เนื่องจากปัจจุบันยังมีกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองอยู่มากจึงไม่จำเป็นที่จะต้องเร่งรัดการจัดทำ PDP 2024 โดยควรเปิดรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมให้รอบด้านและทบทวนปรับปรุงร่างแผนใหม่อีกครั้ง

2.ทบทวนเรื่องการพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้า เนื่องจากเป็นต้นเหตุสำคัญด่านแรกที่จะนำไปสู่การรับซื้อไฟฟ้าที่มากเกินความจำเป็น เหมือนเช่นที่เกิดขึ้นตลอดเวลา 20 ปี ที่ผ่านมา  ซึ่งในร่างแผน PDP 2024 นี้ก็ยังคงใช้แนวคิดเดิมในการพยากรณ์ คือ การใช้สัดส่วนอัตราการเพิ่มขึ้นของความต้องการใช้ไฟฟ้าต่ออัตราการเติบโตของ GDP (Electricity Elasticity , EE) ที่ประมาณ 1ต่อ1 เช่น ถ้า GDP เติบโต 3.1 % ความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศจะเพิ่มขึ้น 3.1 %

ขณะที่ปัจจุบันผู้ใช้ไฟฟ้าทุกภาคส่วนมีมาตรการประหยัดไฟฟ้ารูปแบบต่างๆและผลิตไฟฟ้าใช้เองเพิ่มมากขึ้น ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าจากระบบไฟฟ้าของประเทศลดลง  ดังนั้น จึงควรทบทวนเรื่องการประเมินค่า GDP ใหม่ และใช้สัดส่วน  EE ประมาณ  0.75- 0.8 ต่อ 1 ซึ่งสมมติว่าค่าเฉลี่ย GDP ใหม่อยู่ที่ 3% ความต้องการใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2.25-2.4 % ซึ่งจะมีผลต่อการต้องมีโรงไฟฟ้าเข้ามาใหม่อย่างมีนัยยะสำคัญ  แนวทางนี้สามารถทดลองทำได้เนื่องจากปัจจุบันมีไฟฟ้าสำรองอยู่มากเพียงพออีกหลายปีและสามารถปรับปรุงให้ทันต่อสภาวการณ์ได้ทุกๆ 2-3 ปี

3.การกำหนดให้มีโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเข้ามาใหม่ ควรต้องให้ทยอยเข้ามาในระบบให้สมดุลกับกำลังการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าหลักที่มีอยู่เดิมจำนวนมากก่อน เพื่อไม่ให้มีโรงไฟฟ้าหลักเชื้อเพลิงฟอสซิลใหม่ที่ยังมีความจำเป็นต้องมีเพื่อดูแลเรื่องเสถียรภาพของไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเข้ามาในระบบเร็วกว่าที่ควร  เนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนใช้ระยะเวลาในก่อสร้างสั้นเพียง 1-2 ปี  การบริหารจัดการให้เพิ่มเข้ามาในระบบสามารถทำได้ง่าย

4.โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (Solar Farm) ซึ่งช่วยผลิตไฟฟ้าป้อนให้ระบบในเวลากลางวันมีกำลังการผลิตรวมค่อนข้างมากอยู่แล้ว  มีผลให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศ ปัจจุบันเปลี่ยนไปเกิดขึ้นในช่วงเวลากลางคืน (ประมาณช่วง 3-4 ทุ่ม )  ดังนั้นการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบเดิมจะไม่สามารถช่วยลดความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดได้

นอกจากนี้หากมีมากเกินไปการดูแลเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าจะทำได้ยากมากขึ้น ในแผน PDP ใหม่นี้ จึงควรให้ความสำคัญกับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบลอยน้ำ (Floating Solar) ในเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่เป็นลำดับแรกมากกว่า เนื่องจากจะช่วยผลิตไฟฟ้าในเวลากลางวัน เพื่อเก็บรักษาน้ำในเขื่อนไว้ผลิตไฟฟ้าสนับสนุนความต้องการใช้ไฟฟ้าที่สูงในช่วงเวลากลางคืนได้ เป็นการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ดังนั้นจึงควรกำหนดให้มีโรงไฟฟ้าประเภทนี้ให้มากจนเต็มตามศักยภาพของโรงไฟฟ้าพลังน้ำของประเทศโดยเร็วเป็นลำดับแรกก่อน

ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบมีระบบแบตเตอรี่เพื่อเก็บกักพลังงาน (BESS) นั้น การกำหนดช่วงเวลาที่จะเปิดการรับซื้อไฟฟ้าควรให้เหมาะสมกับความพร้อมคือเมื่อเทคโนโลยีมีความลงตัวแล้ว แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องมีการกำหนดราคารับซื้อไฟฟ้าที่ไม่สูงเกินไป เช่น ไม่ควรเกินหน่วยละ 3 บาทเพื่อช่วยดึงราคาค่าไฟฟ้าในภาพรวมให้ถูกลง (ปัจจุบันค่าไฟฟ้าฐานอยู่ที่หน่วยละ 3.78 บาท)

5.ควรแสวงหาแนวทางการเพิ่มสัดส่วนโรงไฟฟ้าสะอาดเป็นโรงไฟฟ้าหลัก เนื่องจากปัจจุบันสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิง (Energy Mix) ในการผลิตไฟฟ้าของประเทศในส่วนของโรงไฟฟ้าหลักพึ่งพาการใช้เชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติมากถึงร้อยละ  60 และโรงไฟฟ้าหลักที่จะเข้ามาใหม่ในระบบไฟฟ้าก็ใช้แต่ก๊าซธรรมชาติ

ขณะที่แหล่งก๊าซธรรมชาติมาจากอ่าวไทย  เมียนมา และ LNG นำเข้า และในอนาคตจะเหลือเพียงจากอ่าวไทยและการนำเข้า LNG ซึ่งการนำเข้า LNG ที่สัดส่วนมีแนวโน้มสูงขึ้นและมีราคาที่ผันผวนส่งผลให้ค่าไฟฟ้าจะไม่ถูกลงเท่าที่ควร  ประเทศจะคงอยู่ในวังวนของวัฏจักรค่าไฟฟ้าสูงมากจนรับไม่ได้เหมือนเช่น

ปัจจุบันจากผลกระทบของวิกฤตการณ์โลกด้านเชื้อเพลิงหรือภัยสงครามซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทุกขณะ ทั้งนี้โรงไฟฟ้าหลักที่ไม่ทำให้เกิดปัญหาเรื่องมลภาวะสำหรับประเทศไทยมี 2 ทางเลือกคือ โรงไฟฟ้าพลังน้ำและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์

ทั้งนี้การกำหนดให้มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) ในช่วงท้ายของแผน PDP ควรพิจารณาทบทวนใน 2 ประเด็น คือ ประเด็นแรก โรงไฟฟ้า SMR อาจไม่ได้มีต้นทุนค่าไฟฟ้าถูกเมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ปกติ  และมีกำลังผลิตน้อย (300 MW) จึงไม่มากพอที่จะมีผลต่อการช่วยลดราคาค่าไฟฟ้า   

ประเด็นที่สอง ซึ่งสำคัญมากกว่าคือ การได้รับการยอมรับจากประชาชนทุกภาคส่วน ซึ่งในการจัดทำ PDP ที่ผ่านมาก็เคยมีการกำหนดให้มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไว้ในช่วงท้ายของแผนเช่นกันแต่ต่อมาก็ต้องถอดออกไป ดังนั้นการจะกำหนดให้มีโรงไฟฟ้า SMR หรือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดปกติไว้ในแผนจึงไม่มีความแตกต่างกันมากในเรื่องความยากของการสื่อสารเพื่อสร้างการยอมรับจากประชาชนและการออกกฎหมายเพื่อการควบคุมที่เกี่ยวข้อง แต่จะมีความแตกต่างอย่างชัดเจนในเรื่องการกระจายความเสี่ยงเรื่องสัดส่วนของโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลักและการช่วยดึงราคาค่าไฟฟ้าให้ถูกลง  สรุปคือไม่ว่าจะเลือกโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ประเภทใดการใช้ทรัพยากรเพื่อให้สามารถพัฒนาโครงการให้เกิดขึ้นได้จริงจะไม่แตกต่างกัน

6.ควรทบทวนเรื่องการนำก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ให้มารวมอยู่ในระบบ Pool Gas ของประเทศ เพื่อให้ราคาก๊าซธรรมชาติที่เป็นต้นทุนหลักในการผลิตไฟฟ้ามีราคาถูกลงและเกิดความยุติธรรมในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ

7.ควรให้มีการทบทวนเรื่องความมั่นคงระบบไฟฟ้าของประเทศเป็นรายภาค เนื่องจากในร่าง PDP 2024 พบว่าในพื้นที่ภาคใต้จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าพึ่งได้ในช่วงเวลากลางคืนต่ำกว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด จึงจำเป็นที่จะต้องมีโรงไฟฟ้าใหม่เพิ่มขึ้นในพื้นที่ เพื่อคอยดูแลเรื่องความเพียงพอ และความผันผวนของเสถียรภาพระบบไฟฟ้าในพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที

ทั้งนี้การส่งไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าภาคตะวันตกจะเป็นส่วนเสริมช่วยสำรองและสนับสนุนเรื่องความมั่นคง ซี่งแนวคิดเรื่องความมั่นคงระบบไฟฟ้าเป็นรายภาคนี้ก็ได้ใช้ในการจัดทำ PDP 2024 มาแล้ว จึงเป็นที่มาของการกำหนดให้มีโครงการโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานีไว้ในแผนเดิม สำหรับการกำหนดให้มีโรงไฟฟ้าใหม่ในภาคตะวันตกตามร่างแผน PDP 2024 นั้น ก็เพื่อเป็นการทดแทนโรงฟ้าเดิมในพื้นที่ที่จะหมดอายุลง และคอยช่วยเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าในเขตนครหลวงเป็นหลัก

8.ควรทบทวนเรื่องสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าระหว่างภาครัฐกับเอกชนให้มีความชัดเจน  ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการกำหนดกรอบสัดส่วนเอาไว้  ทั้งๆ ที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยแนะนำให้  กพช. และ กกพ.ต้องดำเนินการกำหนดกรอบหรือเพดานของสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของเอกชนในระบบผลิตไฟฟ้าของประเทศ แต่ไม่มีการดำเนินการแต่อย่างใด การมีกรอบสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าที่ชัดเจนจะทำให้การวางแผนของรัฐในภาคนโยบาย ภาครัฐที่ผลิตไฟฟ้า และภาคเอกชน สามารถคิดวางแผนงานไว้ล่วงหน้าได้ดีขึ้น  

ทั้งนี้ตามร่าง PDP 2024 ภาครัฐคือ กฟผ. จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเหลืออยู่เพียงร้อยละ17 ซึ่งถือว่าน้อยมากในภารกิจสำคัญที่ต้องดูแลความมั่นคงระบบไฟฟ้าของประเทศ ที่ในอนาคตจะมีความผันผวนมากยิ่งขึ้นจากนโยบายของรัฐที่จะให้มีโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจำนวนมากเพิ่มเข้ามา  

ทั้งนี้มีข้อสังเกตว่า การสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ไม่ว่าจะโดยภาครัฐหรือ เอกชน ไม่มีความแตกต่างกันในเรื่องราคาค่าไฟฟ้า เนื่องจากรัฐเป็นผู้ควบคุมและกำหนดราคาต้นทุนค่าไฟฟ้าและราคาเชื้อเพลิง  ในขณะที่โรงไฟฟ้าของรัฐสามารถตอบแทนคืนประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนด้วยการนำส่งรายได้เข้ารัฐปีละหลายหมื่นล้านบาท รวมทั้งการใช้เป็นกลไกเพื่อดูแลราคาค่าไฟฟ้าและการดูแลผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มเปราะบางเช่นที่ทำอยู่ในปัจจุบัน

9. นอกจากเรื่องการทบทวนการจัดทำ  PDP ดังกล่าวข้างต้นแล้ว  การจะทำให้ค่าไฟฟ้าถูกลงได้ทันที เห็นควรพิจารณาให้มีการเจรจาเพื่อทบทวนสัญญา PPA กับโรงไฟฟ้าเอกชนในเรื่องการจ่ายเงินค่าความพร้อมจ่าย (AP)  ให้ลดลงเหลือน้อยที่สุดเช่น  10-20 สตางค์ต่อหน่วย (ปัจจุบันค่าเฉลี่ย AP ประมาณ 75-80 สตางค์ต่อหน่วย)  โดยอาจแลกกับการขยายอายุสัญญาหรือเงื่อนไขอื่นที่เหมาะสม โดยเลือกโรงไฟฟ้าที่ประกอบการมาคุ้มทุนแล้ว (อายุ 7-10 ปี) ทั้งนี้ในเบื้องต้นควรทดลองเจรจาขอความร่วมมือจากโรงไฟฟ้าในเครือของ กฟผ.และ ปตท. ดูก่อนหากสามารถทำได้ก็จะเกิด Quick Win และใช้เป็นต้นแบบ และควรให้ทบทวนเรื่องการทำสัญญา PPA ใหม่ไว้เพื่อใช้สำหรับโรงไฟฟ้าใหม่ในอนาคตด้วย

10. มีข้อเสนอเพิ่มเติมว่า เนื่องจากเรื่องกิจการไฟฟ้าเป็นเรื่องสำคัญมากต่อการเติบโตด้านเศรษฐกิจของประเทศและความเป็นอยู่ของประชาชน รัฐควรพิจารณากำหนดตัวชี้วัดการประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกระตุ้นให้มีความมุ่งมั่นในภารกิจ เช่น ต้องบริหารจัดการไม่ให้ราคาค่าไฟฟ้าเกิน 3.90 บาทต่อหน่วยภายใน 3 ปี เป็นต้น

Message us