
เมื่อวันที่ 18 มีนาคม ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลสมควรได้รับเลือกเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีจำนวน 2 คน คือ น.ส.ศิริพรรณ นกสวน สวัสดดี นักวิชาการรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายชาตรี อรรจนานันท์ อดีตอธิบดีกรมการกงศุล และอดีตเอกอัครราชทูต ประจำกรุงเฮก ซึ่งผ่านการตรวจสอบประวัติและความประพฤติของคณะกรรมาธิการฯ ที่วุฒิสภาแต่งตั้งแล้ว โดยเป็นการสรรหาแทน นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรมนูญ และ นายปัญญา อุดชาชน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งครบวาระดำรงตำแหน่ง เมื่อ พ.ย.2567
ทั้งนี้ ก่อนเข้าสู่การพิจารณา น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. ได้เสนอญัตติด่วนให้ชะลอการลงมติรายชื่อดังกล่าวออกไปก่อน โดยให้เหตุผลว่า สว.ชุดนี้สังคมกำลังตั้งคำถามกับกระบวนการได้มาซึ่งสว. มีความผิดปกติหรือไม่ เมื่อสว.ถูกมองด้วยความคลาแคลงใจ ทำไมเราจึงไม่พิสูจน์ตัวเอง โดยให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตรวจสอบที่มาของสว.ชุดนี้จนสิ้นสงสัย เมื่อได้ตรวจสอบว่า การได้มาของสว.ชุดนี้สุจริต โปร่งใส การทำหน้าที่ใดๆ ก็จะสง่างาม โดยมีการไปร้องให้สว.ชุดนี้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ข้อกล่าวหานี้อาจจะรุกลามไปที่รัฐธรรมนูญมาตรา 113 เรื่องการแทรกแซงครอบงำจากพรรคการเมือง ฉะนั้น ตนมองว่ าจึงควรชะลอการลงมติดังกล่าวออกไปก่อน จนกว่าการตรวจสอบจะสิ้นสงสัย แล้วจึงกลับมาลงมติกันใหม่ เพื่อเป็นการทำหน้าที่อย่างสง่างาม และไม่ส่งผลกระทบต่อองค์กรอิสระใดๆ

อย่างไรก็ตาม การอภิปรายดังกล่าวทำให้ พล.อ.สวัสดิ ทัศนา สว. ประท้วงว่า วุฒิสภามีหน้าที่และอำนาจคือ การให้คำแนะนำหรือให้ความเห็นชอบให้บุคคลดำรงตำแหน่งตามกฎหมาย แต่ที่มีผู้เสนอญัตติให้ชะลอการพิจารณาออกไป เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ที่วุฒิสภาจะปฎิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ฉะนั้น ขอให้มีการปฏิบัติตามระเบียบวาระการประชุมต่อไปทำให้ พล.อ.เกรียงไกร วินิจฉัยว่า ญัตติด่วนด้วยวาจาที่ น.ส.นันทนาได้เสนอนั้น ตนวินิจฉัยแล้วว่า เป็นญัตติที่ไม่สามารถปฏิบัติได้จึงไม่รับเป็นญัตติ เพราะถือว่า วุฒิสภามีอำนาจเต็มตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ

น.ส.นันทนา ประท้วงว่า หากมองว่า การเสนอญัตติของตนไม่เหมาะสม ก็ควรให้สมาชิกลงมติ ว่า ไม่เห็นชอบหรือเห็นชอบ จะกลัวอะไร ประชาชนที่ดูอยู่จะได้บอกว่า ท่านยินดีที่จะปัดตกเรื่องการชะลอการลงญัตติไป ถ้าประธานวินิจฉัยแบบนี้ ต้องรับผิดชอบคนเดียว จะเป็นปัญหาต่อไปว่า เมื่อสภารับญัตตินี้แล้ว ไม่มีโอกาสที่จะพิจารณาว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ เพราะประธานปัดตก ทำให้ นายวุฒิชาติ กัลยาณมิตร สว. ในฐานะเลขานุการ วิปวุฒิสภาฯ แย้งด้วยว่า สิ่งที่ประธานวินิจฉัยถือว่าถูกต้อง เชื่อว่าพวกเราพร้อมที่จะรับการตรวจสอบ วันนี้มีหน่วยงานไหนที่มีอำนาจเหนือ สว. มีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ หรือการกระทำมีสิ่งไหนที่ผิดระเบียบหรือรัฐธรรมนูญหรือไม่

ขณะที่ พล.อ.เกรียงไกร ยืนยันว่า ไม่รับเป็นญัตติ และให้ดำเนินการตามวาระต่อไป ทำให้ น.ส.นันทนา ร้องขอให้การเสนอญัตติด่วนด้วยวาจาดังกล่าวบันทึกการประชุมแทน ซึ่ง พล.อ.เกรียงไกร ย้ำว่า การประชุมวุฒิสภาทุกครั้งจะมีการบันทึกการประชุม
จากนั้น จึงเข้าสู่การระเบียบวาระพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับเลือกเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดย พ.ต.อ.กอบ อัจนากิตติ สว. ในฐานะคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แถลงรายงานว่า สภาแห่งนี้จะพิจารณาอะไรต้องทำภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายให้อำนาจหน้าที่ไว้ ไม่ได้ถูกตั้งขึ้นมาโดยอำเภอใจของผู้ใดแต่อย่างใด และคณะกรรมการสรรหาชุดนี้ ประกอบด้วย ประธานศาลฎีกาเป็นประธาน ประธานสภาผู้แทนราษฎรและผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรเป็นกรรมการ ประธานศาลปกครองสูงสุดเป็นกรรมการ บุคคลที่องค์กรอิสระแต่งตั้งเป็นกรรมการ และเลขาธิการวุฒิสภาเป็นเลขาธิการของคณะกรรมการสรรหาชุดนี้
“รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด คนที่กล่าวอ้างนอกเหนือรัฐธรรมนูญ ถือว่า เป็นเรื่องนอกจากรัฐธรรมนูญ นอกจากต้องปฏิบัติตามกฎหมาย และสว.ที่เข้ามาตามระบบ ต้องทำงานตามประมวลจริยธรรมด้วย ขอความกรุณา ให้ความเคารพสภาแห่งที่ ซึ่งเป็นที่ทำงาน ที่ได้อยู่มีหน้ามีตาในสังคมเพราะสภาแห่งนี้ อย่าด้อยค่าตัวเองหรือสว. ไม่มีประโยชน์ อย่ากระเหี้ยนกระหือรือทำในสิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” พ.ต.อ.กอบ กล่าว

นพ.เปรมศักดิ์ เพียยะรุ สว. อภิปรายว่า ผู้ถูกเสนอชื่อเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 2 คน ผ่านขั้นตอนอันชอบธรรมตามกระบวนการ บางท่านได้เสียงเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ 8 ต่อ 0 บางท่านผ่านการพิจารณาถึง 3 รอบ ถือเป็นคุณสมบัติที่ครบถ้วน ตนไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวทั้ง 2 ท่านเพราะอยู่คนละแวดวง แต่เราให้เกียรติคณะกรรมการสรรหาฯทั้ง 8 ท่าน ถือเป็นโป๊ยเซียนเป็นคนมีความรู้ความสามารถ โดยส่วนตัวจะเลือกทั้ง 2 ท่าน
ทั้งนี้ ตนให้เกียรติโป๊ยเซียนที่สรรหามา ส่วนคนอื่นตนตอบไม่ได้ บางคนที่มีคดีแล้วไปต่อสู้คดีถือเป็นเรื่องปกติ สำคัญคือคำวินิจฉัยที่ไม่ผิดต่างหากจะเป็นเรื่องการันตี เราจะไม่มีคดีอะไรเลยถ้าเราไม่ออกจากบ้านไม่ต้องคบกับใคร การมีคดีหรือไม่มีคดีไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถ้าพิสูจน์แล้วว่า เราบริสุทธิ์ถือว่าผ่าน ส่วนคุณธรรมจริยธรรม เราคงดูว่าทำงานได้ไหม มีปัญหาในการตัดสินใจที่ไม่ดีไม่งามในอดีตบ้างหรือไม่ ตนไม่อยากให้เป็นมาตรฐานว่า รู้จักใคร มีใครเคยไปเที่ยวเมืองรองหรือเปล่า ถ้าไม่เคยไปถือว่าคุณสมบัติไม่ผ่าน ต้องไปสันถวไมตรีก่อนถึงจะผ่าน ถ้าเป็นแบบนี้น่าเศร้าใจ หลายคนดำรงตนถึงทุกวันนี้เพราะความที่ตัวเองมั่นใจในสิ่งที่ทำมันใจในคุณธรรมที่มี จึงไม่ไปสันถวไมตรีผู้ยิ่งใหญ่ที่ไหน แล้วถ้าเอาเหตุผลนี้ทำให้ต้องตกไปถือว่าน่าเสียดาย

นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เราเลือกในวันนี้จะไปพิจารณาเรื่องที่รัฐสภาส่งตีความการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตนมองทั้ง 2 ท่านที่พิจารณาวันนี้เป็นผู้มีประสบการณ์มีความรู้ความสามารถสามารถจะทำงานได้อย่างแน่นอน การลงคะแนนวันนี้ถ้าไม่มีเรื่องเสียหายมาจากคณะกรรมการสรรหาฯหรือโป๊ยเซียนก็ควรจะให กำลังใจโดยการเลือกให้ไปทำงานแทนเรา ด้วยคุณสมบัติด้วยความเป็นกลางและความรู้ความสามารถ จึงอยากให้สว.ได้พิจารณาอย่างดีถ้วนก่อนตัดสินใจเพราะการตัดสินใจครั้งนี้จะมีผลผูกพันธ์มาก เพราะข้อขัดแย้งตามรัฐธรรมนูญจะมีอีกมากมาย เราต้องเผชิญขอขัดแย้งจากรัฐธรรมนูญเป็นเวลาอีกกว่า 4 ปีดังนั้นบุคคลที่ไปทำหน้าที่แทนเราต้องมารับภาระอันหนักหน่วงเพื่อบ้านเมือง
จากนั้น เป็นการพิจารณาโดยเป็นการประชุมลับใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง โดยที่ประชุมลงมติ นางสิริพรรณ เห็นชอบ 43 เสียง ไม่เห็นชอบ 136 เสียง งดออกเสียง 7 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 เสียง และ ลงมติ นายชาตรี เห็นชอบ 47 เสียง ไม่เห็นชอบ 115 เสียง งดออกเสียง 22 เสียง ไม่ลงคะแนน 3 เสียง ถือว่าบุคคลทั้ง 2 ได้คะแนนเห็นชอบน้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ ซึ่งขณะนี้มีสว.ปฏิบัติหน้าที่ได้จำนวน 199 คน ทำให้ต้องเริ่มกระบวนการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใหม่