
เมื่อวันที่ 17 มีนาคา ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมรัฐสภา เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติด่วน เรื่อง ขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา วินิจฉัย ปัญหา เกี่ยวกับหน้าที่และอำนาของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ที่ นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา และนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.พรรคเพื่อไทย เป็นผู้เสนอ ซึ่งค้างมาจากการประชุมสัปดาห์ก่อน โดยมีนายมงคล สุรสัจจะ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานที่ประชุม
นพ.เปรมศักดิ์ อภิปรายในฐานะเจ้าของญัตติว่า เมื่อวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่ประชุมรัฐสภาได้พิจารณาหลักการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 256 แห่งราชอาณาจักรไทย และเพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่รวม 2 ฉบับ วันนั้นได้เปิดโอกาสให้นำเสนอญัตติในระดับหนึ่ง แต่ปรากฏว่า สมาชิกรัฐสภามีความเห็นที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก ทำให้การประชุมรัฐสภาไม่สามารถดำเนินการไปได้ทั้ง 2 วัน ก่อให้เกิดปัญหาและอุปสรรคในการทำงานของสมาชิกรัฐสภาเป็นอย่างมาก วันนี้ตนจึงหวังใจว่าสมาชิกรัฐสภาจะร่วมกันพิจารณาอย่างถ่องแท้ว่า ญัตติที่ตนเสนอจะมีประโยชน์อย่างไรต่อที่ประชุม
นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญปี 2560 มี 279 มาตรา มีบทบัญญัติหลายประการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ขณะเดียวกันมีบทบัญญัติบางประการที่สมาชิกและองค์กรภายนอก เสนอว่า ควรแก้ไขเพิ่มเติม แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีความพยายามหลายครั้ง และศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยไว้มีสาระและเหตุผลโดยสรุปว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยวิธียกร่างรัฐธรรมนูญจะเป็นผลให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ 2560 เป็นการแก้ไขหลักการสำคัญที่ผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิมต้องการปกป้องคุ้มครองไว้ หากรัฐสภาต้องการจะทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องจัดให้ประชาชนออกเสียงลงประชามติเสียก่อน ถ้าผลการออกเสียงลงประชามติฉบับใหม่ประชาชนเห็นด้วย ถึงจะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต่อไปได้ และเมื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้วก็ต้องทำประชามติอีกครั้งว่าประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ แล้วจึงนำขึ้นทูลเกล้าฯให้พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธย ก่อนจะประกาศใช้
ทั้งนี้ การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องรอบคอบ บางคนถามว่าแล้วมีรัฐสภาไว้ทำไม เมื่อต้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญ แต่รัฐธรรมนูญเมื่อปี 2540 เป็นต้นมาได้บัญญัติให้มีองค์กรอิสระคือศาลรัฐธรรมนูญทำหน้าที่วินิจฉัยข้อขัดแย้ง เมื่อวินิจฉัยแล้วผูกพันทุกองค์กร ตนเห็นโดยสุจริตใจว่า การที่เราจะแก้ไขรัฐธรรมนูญจำเป็นอย่างยิ่งต้องให้มีการลงประชามติเสียก่อน จะลง 2 ครั้ง 3 ครั้งต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป
นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า มีการกล่าวกันมากว่าถ้ารอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเราจะมีเวลารอคอยเท่าไหร่ ซึ่งเราไม่มีอำนาจไปกำหนดแทนศาล แต่คำกล่าวที่ว่าถ้าวินิจฉัยช้า จะไม่ทันเลือกตั้งปี 2570 ตรงนี้ตนอยากให้พิจารณาดีๆ ความจริงแล้วไม่กระทบต่อการเลือกตั้ง เพราะการเลือกตั้งได้แก้ไขไปแล้วเป็นเขตเดียวคนเดียว 400 เขต และบัญชีรายชื่อ 100 คน การเลือกตั้งปี 2566 ก็ได้ใช้บทบัญญัติในการแก้ไขนั้น จนทำให้มีสมาชิกเข้าสู่สภาในขณะนี้ จึงไม่ควรผูกพันกับการเลือกตั้งปี 2570 เพราะการเลือกตั้งย่อมเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีใครทราบ อีกประการหนึ่งการเร่งรัดจะแก้ไขใดๆ ที่มีกำหนดเวลานั้น เป็นการไม่สุขุมรอบคอบ
“การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นงานใหญ่ ต้องอาศัยการหลอมรวมความคิดของทุกฝ่าย เปรียบเสมือนประชาธิปไตยเป็นรถไฟ ซึ่งไม่ใช่รถไฟความเร็วสูงที่ต้องพุ่งทะยานสู่เป้าหมายด้วยเวลารวดเร็ว แต่เป็นรถไฟธรรมดาที่ทยอยส่งผู้โดยสารให้ถึงบ้าน ด้วยความปลอดภัย การแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงไม่ควรเน้นต้องเร่งรัดเร่งรีบ ต้องแก้ไขให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชน และที่สำคัญจะต้องรักษาเอกลักษณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่เป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง มีหลักประกันให้ประชาชนได้มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา จึงต้องคำนึงถึงหลักการที่ประชาชนยอมรับ และที่สำคัญต้องไม่แตกหมวด 1 หมวด 2 ที่เป็นปัญหาความขัดแย้งต่อสังคมไทยมายาวนาน ต้องแก้ไขในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ไม่ใช่สนองอำนาจทางการเมืองของผู้ใดทั้งสิ้น ผมในฐานะสมาชิกรัฐสภา อยากให้เวทีนี้สะท้อนความต้องการของประชาชน ที่เป็นทั้งสสและสว. เป็นเสียงส่วนใหญ่ว่า เราจะเดินหน้าทันทีหรือให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเพื่อความรอบคอบ ผมจึงหวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ เหมือนวันที่ 13 -14 มีนาคมที่ผ่านมา”นพ.เปรมศักดิ์กล่าว