“บาจูเมอลายู”สืบทอดเอกลักษณ์การแต่งกายชาวมุสลิม 3 จังหวัดชายแดนใต้

การสวมใส่เสื้อผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมที่สืบทอดกันมานับกว่า 400 ปี ของชาวพี่น้องมุสลิม 3 จังหวัดชายแดนใต้ ปัตตานี ยะลาและ นราธิวาส ยิ่งนับวันจะยิ่งเลือนหายไป ทั้งที่ชุดมลายูมีความโดดเด่น สวย สง่างาม มีอัตลักษณ์เฉพาะในพื้นที่ แต่อาจจะเปลี่ยนไปบ้างตามยุคให้ทันสมัย เพื่อเพิ่มความสะดวกในการสวมใส่ให้มากขึ้น และทำให้เหมาะกับสภาพอากาศในบ้านเมืองเรา

ปัจจุบันชุดมลายู ถือว่าเป็นซอฟต์พาวเวอร์ของการแต่งกายประจำถิ่นไปแล้ว จากกระแสที่เป็นความต้องการของตลาด ณ ตอนนี้ ทำให้มีการนำเข้าชุดมลายูจากต่างประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน การตัดเย็บชุดมลายูในจังหวัดนราธิวาสที่สืบทอดกันมากว่า 30 ปี ที่บ้านจำปากอก็ยังคงเอกลักษณ์ไว้ได้

อิลฮัม และลี ผู้ผลิตชุดมลายูบ้านจำปากอ บอกว่า เริ่มต้นมาจากความชอบแต่งกายชุดมลายู และเริ่มศึกษาจนมีความรู้สึกว่า อยากทำแบรนด์เป็นของตัวเอง เลยเริ่มศึกษาการแต่งกายไปเรื่อยๆ ดูจากยูทูปบ้าง ตอนนั้นยังไม่มีการเปิดสอน จนเมื่อปีที่แล้ว มีการเปิดให้เรียนการทำหมวกเลยไปลงเรียน ปรากฏว่าได้ความรู้จากครูชาวมาเลเซีย ที่มาเปิดคอร์สสอนจนกระทั่งสอนาตัดชุดมลายู ซึ่งตรงตามเป้าหมายที่ต้องการจะทำขาย จากเริ่มต้นที่อยากทำเพื่ออนุรักษ์

ในเทศกาลวันฮารีรายอ อิดีลฟิตตรี ฮ.ศ 1445 ของปีนี้ Selamat Hari Raya (เซอลามัต ฮารี รายอ) ทางสำนักจุฬาราชมนตรี ได้ประกาศ ดูดวงจันทร์ ในวันที่ 9 เมษายน พ.ศ 2567 ถ้าเห็นดวงจันทร์ วันที่ 10 เมษายน 2567 ก็จะเป็นวันฮารีรายออิดิลฟิตตรี หรือ รายอ บวชถือศีลอดของปีนี้ แต่ถ้ายังไม่เห็น ก็จะรายอวันที่11 เมษายน 2567

Baju Melayu (บาจูเมอลายู) หรือ ชุดแต่งกายมลายู เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง ปัจจุบันการใส่ชุดมลายูเป็นการแต่งกายในวันเฉลิมฉลองวันฮารีรายอ หรืองานเทศกาลต่างๆของชาวมุสลิมที่นับถือศาสนาอิสลาม เช่น การแต่งกายในพิธีสมรสของคู่บ่าว-สาว ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ปัจจุบันได้มีการสืบทอดการแต่งกายแบบดั้งเดิม มาตกแต่ง ประยุกต์ให้มีสีสัน ซึ่งแต่ละการแต่งกายก็ล้วนแต่มีความเป็นมาจากอดีต เมื่อ 400 กว่าปีที่แล้ว แต่ยังคงอนุรักษ์ให้อยู่คู่ชาวมลายู เพื่อสืบทอดให้ชั่วลูกชั่วหลานได้เห็นกันต่อไป

การแต่งกายชุดมลายู ประกอบด้วย เสื้อบลางอ เสื้อฮียาส เสื้อฮียาสซีกัส เสื้อมัตคีเลา จะเป็นเสื้อแขนยาว ที่บอกถึงตำแหน่งหน้าที่ของผู้สวมใส่ อย่างเสื้อฮียาสสมัยก่อน ผู้ที่สวมใส่จะเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ขุนนาง ใส่เพื่อเข้าประกอบพิธีงานในพระราชวัง แต่ปัจจุบัน จะสามารถใส่ในเทศกาลต่างๆ ได้

กางเกง จะเป็นกางเกงยาวขาบาน อาจจะเป็นสีผ้า หรือผ้าเดียวกันกับตัวเสื้อ เน้นใส่สบายๆ
ผ้าซอแก๊ะ ( Samping สำปิง) เป็นผ้าคล้ายผ้าถุงของผู้หญิง แต่จะสั้นกว่า ไว้ใส่ทับบนกางเกงอีกชั้น( การสวมใส่ผ้าซอแก๊ะจะมีความแตกต่างกันระหว่างวัยที่ยังไม่มีครอบครัว จะสวมระดับความยาวเลยเข่าขึ้นมา แต่ถ้ามีครอบครัวแล้วจะสวมใส่ความยาวใต้เข่าลงมา )
ผ้าคาด ( Bengkung เบงกง) เป็นผ้าคาดทับผ้าซอแก๊ะ แทนเข็มขัด เพื่อความกระชับ แน่นไม่หลุด และไว้สำหรับเหน็บ กริช ซึ่งกริช เป็นอาวุธสั้นประจำชาติ มลายูและเป็นเครื่องหมายแสดงถึงตระกูลต่างๆ ของกษัตริย์มลายูในสมัยนั้นๆ

หมวก (เซอตันจัค Setanjak ) เป็นหมวกคล้ายหมวกกะปิเยาะ ที่เย็บแบบสำเร็จ สมัยก่อนจะเอาแค่ผ้ามาพันที่ศีรษะเวลาออกรบ อาจจะปลุกเสกตามความเชื่อ เมื่อสวมใส่จะได้เป็นศิริมงคลกับตัวเอง แต่หมวกเซอตันจัค ก็ได้ดัดแปลงมาเป็นสวมใส่ในพระราชพิธีต่างๆ ในพระราชวังและขาดไม่ได้เพราะเป็นอาภรณ์คู่ ชุดที่สวมใส่บ่งบอกถึงตำแหน่งหน้าที่ ตระกูล ชนชั้น ของคนยุคสมัยนั้น ๆ (หมวกเสอตันยัค จะเน้นลวดลายการพันดอกให้ได้มากที่สุดโดยใช้ผ้าผืนเดียวมาประกอบ ยิ่งหมวกได้ดอกมากก็จะบ่งบอกถึงชนชั้นมากยิ่งขึ้น) แต่ปัจจุบันหมวกเสอตันยัค ยิ่งมีดอกมาก ราคาก็สูงขึ้น

ชุดมลายูแต่ละยุคแต่ละสมัย เปลี่ยนไปตามกาลเวลา จะแตกต่างกันไป ซึ่งปัจจุบันยังคงอนุรักษ์สืบทอดกันมา เรื่อยๆ แต่มีการเปลี่ยน ปรับให้ทันยุคสมัยใหม่มาก และทำให้สวมใส่ สะดวก ต่อการใช้ชีวิตปัจจุบันให้ได้ง่ายขึ้น

อิลฮัม และลี เจ้าของร้าน แบรนด์อิลฮัม จำปากอ (บ้านจำปากอ) อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส โทร.088-7555509 ร้านนี้ได้รับรางวัลการันตี เป็นเกรียติบัตรเป็นคณะกรรมการการตัดสินการประกวดการแต่งกายชุดมลายูด้วย

ข่าว/ภาพ : แวดาโอ๊ะ หะไร / อัสมา บินมะนุ ผู้สื่อข่าวจังหวัดนราธิวาส

Message us